กระแสการผ่อนคลายนโยบายควบคุมชายแดนของหลายประเทศเริ่มแผ่กระจายไปทั่วมากขึ้น เมื่ออัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น แต่ความกังวลเกี่ยวกับการระบาดเอง รวมทั้ง ข้อจำกัดด้านวัคซีน กลายมาเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในสหรัฐฯ ที่เฝ้ารอการกลับมาของนักเดินทางต่างชาติ ยังไม่แน่ใจว่า สถานการณ์จะเริ่มกลับมาดีขึ้นจริงเมื่อใด
ขณะนี้สหรัฐฯ กำลังเชิญชวนให้ประชาคมโลกเดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากรัฐบาลได้ยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 33 ประเทศ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ยังคงเป็นเรื่องยากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกที่จะเดินทางไปสหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเต็มที่
เพราะราวครึ่งหนึ่งของประชากรโลกยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ดังนั้น จึงไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐบาลสหรัฐฯ เรื่องการเยือนของชาวต่างชาติ และแม้ว่าชาวยุโรปจำนวนมากจะสามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ในตอนนี้ แต่ผู้คนจากประเทศยากจนที่วัคซีนหายากก็ยังไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ และสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางคนแล้ว นโยบายดังกล่าวทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรม
แนนซี่ แคส (Nancy Kass) รองผู้อำนวยการด้านสาธารณสุขของสถาบัน Berman Institute of Bioethics แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮฮพกินส์ กล่าวว่าการจำกัดการเข้าประเทศโดยพิจารณาจากสถานะการฉีดวัคซีนไม่ใช่ปัญหาแท้จริงของเรื่องนี้ แต่เป็นจากการที่ระบบดังกล่าวทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้คนจากประเทศยากจน ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจัดหาสิ่งจำเป็นให้แก่คนในประเทศ ที่จะเดินทางไปหาคนที่ตนรักได้
และถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะได้รับวัคซีนแล้ว แต่ก็อาจยังไม่ดีพอเพราะพวกเขาต้องได้รับวัคซีนที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) หรือที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอนามัยโลกสำหรับการใช้ในกรณีฉุกเฉิน มิฉะนั้น ก็จะถูกห้ามไม่ให้เข้าสหรัฐฯ อยู่ดี ดังเช่นตัวอย่างของผู้ที่ได้รับวัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย หรือ CanSino ของจีน ที่ไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้
นอกจากนี้ ยังมีความล่าช้านานหลายเดือนในการขอวีซ่าในบางประเทศ และสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐฯ หรือ U.S. Travel Association กล่าวว่า โดยเฉลี่ยแล้วมีการนัดหมายทำวีซ่าท่องเที่ยวที่คั่งค้างอยู่ถึง 6 เดือน เนื่องจาก สถานกงสุลและสถานทูตสหรัฐฯ หลายๆ แห่งยังไม่เปิดทำการตามปกติ ในขณะเดียวกันประเทศอื่นๆ ก็มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของตนเองซึ่งทำให้การเดินทางไปต่างประเทศมีความยุ่งยาก
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่สนามบินในสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยรวมได้อย่างมาก โดยสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า 28 ประเทศในยุโรปที่ถูกห้ามเข้าประเทศภายใต้นโยบายของสหรัฐฯ จนถึงเมื่อวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายนซึ่งได้ประกาศยกเลิกไปนั้น คิดเป็นอัตราส่วน 37% ของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในปี 2019
Travelport ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลการจองสายการบินระบุว่า หากดูตามภูมิภาคแล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ มากที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2020 มาจากประเทศแถบละตินอเมริกา แต่นักท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ได้จองเที่ยวบินตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน เมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดี Biden กล่าวว่าจะยุติการห้ามเดินทางนั้น ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป ขณะที่ การเปิดพรมแดนทางบกที่เชื่อมต่อกับแคนาดาและเม็กซิโกอีกครั้งก็อาจช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยวได้ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสหรัฐฯ มากที่สุดเป็น 2 อันดับแรก
อย่างไรก็ตาม สมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐฯ คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมิถุนายนว่า การเดินทางระหว่างประเทศจะไม่กลับสู่ระดับของปี 2019 ที่มีนักท่องเที่ยวเกือบ 80 ล้านคนจนกระทั่งปี 2024
ทั้งนี้ จำนวนนักเดินทางต่างชาติลดลงเหลือ 19 ล้านคนในปี 2020 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปีนี้เป็นมากกว่า 26 ล้านคน ก่อนจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 57 ล้านคนในปี 2022 แต่จะยังไม่ถึงระดับก่อนที่จะเกิดโรคระบาดอยู่ดี
สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวที่พยายามฟื้นฟูการท่องเที่ยว เพราะ บางประเทศที่ปิดพรมแดนก็เริ่มผ่อนปรนเช่นกัน เช่น ออสเตรเลีย อินเดีย และไทย ส่วนยุโรปได้เปิดประเทศสำหรับชาวอเมริกันเมื่อหลายเดือนก่อน
ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น จีนและญี่ปุ่น ยังคงปิดประเทศอยู่ ซึ่งทำให้เป็นการยากสำหรับพลเมืองของประเทศเหล่านั้นที่จะเดินทางเข้าออกประเทศของตนเนื่องจากมีมาตรการบังคับให้กักตัว เมื่อปี 2019 ทั้งสองประเทศนี้อยู่ในกลุ่ม 5 ประเทศแรกที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนสหรัฐฯ มากที่สุด ส่วนอีก 3 ประเทศคืออังกฤษ เกาหลีใต้ และบราซิล ตามข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ
ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชอบไปมากที่สุดนั้น ธุรกิจต่างๆ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับนักเดินทางต่างชาติที่กำลังจะเพิ่มมากขึ้น เช่น ศูนย์การค้า Hudson Yards ที่กำลังขยายบริการเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ครอบคลุมภาษาต่างประเทศในวงกว้างขึ้น และ City Experiences บริษัททัวร์ที่ส่งเรือข้ามฟากไปยังอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพและสถานที่อื่นๆ ก็กำลังเพิ่มการตลาดในต่างประเทศด้วย
มิทเชลล์ โฮชเบิร์ก (Mitchell Hochberg) ประธานบริษัท Lightstone ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรม Moxy กล่าวว่า ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา 75% ของการจองโรงแรม Moxy ทั้งสามแห่งในแมนฮัตตันมาจากยุโรป โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศอังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส และเยอรมนี แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคิดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยจนถึงช่วงต้นปีหน้าสำหรับการจองโรงแรมจากต่างประเทศให้กลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด
อย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อแผนการเดินทางของหลายๆ คน แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ แล้วก็ตาม