ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 26% จากปีที่แล้ว เป็น 984,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 7 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากภาษีลดลงเพราะนโยบายลดภาษีของทรัมป์ ขณะที่ยอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนของการทหารและโครงการในประเทศ
สำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐฯ หรือ CBO คาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณจะเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณนี้ และจะอยู่ในระดับสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ตัวเลขนี้ต่างจากสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์รับปากไว้ก่อนเข้ารับตำแหน่งว่าจะลดยอดขาดดุลงบประมาณลงด้วยการลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ประกอบกับการเพิ่มการจัดเก็บภาษี
ถึงกระนั้น รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ สตีเว่น มนูชิน กล่าวว่า โครงการเศรษฐกิจของทรัมป์นั้นใช้ได้ผล ทำให้อัตราการว่างงานลดลง และยอดงบประมาณก็มีเสถียรภาพในระยะยาว
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขาดดุลสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์มาแล้วระหว่างปี 2009 - 2012 ในสมัยประธานาธิบดีโอบาม่า ซึ่งเป็นการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤติการณ์การเงินครั้งใหญ่
แต่การขาดดุลงบประมาณในขณะนี้แตกต่างออกไป เพราะเกิดขึ้นในขณะที่อัตราการว่างงานต่ำ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่อง 11 ปีติดต่อกัน
จนถึงขณะนี้ ทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ยังไม่มีการพูดกันอย่างจริงจังเรื่องการลดยอดขาดดุลงบประมาณ ในขณะที่ผู้ชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปีหน้า ก็พูดแต่เรื่องของโครงการประกันสุขภาพราคาถูกสำหรับทุกคน การเพิ่มสมัสดิการสังคมต่าง ๆ และการลดภาษีสำหรับบริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งล้วนแต่จะทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณสูงขึ้น