UNICEF รายงานว่าปัญหาเด็กยากจนเเละอดอยากรุนแรงขึ้นใน 41 ชาติที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และรายได้ที่สูงขึ้นผลักดันให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างขึ้น
รายงานของยูนิเซฟชิ้นนี้พบว่า รายได้ที่สูงไม่ได้หมายความว่าความเป็นอยู่ของเด็กในประเทศนั้นๆ จะดีขึ้นตามไปด้วย และยังรายงานด้วยว่ารายได้ที่สูงขึ้นมักกลายเป็นตัวผลักดันให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างมากขึ้น
Jose Cuesta หัวหน้าฝ่ายนโยบายด้านสังคมและการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจแห่งยูนิเซฟกล่าวว่าทั้ง 41 ประเทศในรายงานเหล่านี้ ต่างล้มเหลวในการปกป้องความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในทางใดทางหนึ่ง
Cuesta กล่าวว่า หากยูนิเซฟต้องให้เกรดประเทศทั้งหมดเหล่านี้ จะไม่มีประเทศใดที่ได้เกรดเอเลย อย่างไรก็ดี ยังมีข่าวดีบ้างในบางประเด็นเเละหลายเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยกตัวอย่างในเรื่องของการศึกษาของเด็กและการลดลงของการเสียชีวิตของทารกหลังคลอด
แต่เขาชี้ว่ายังมีช่องว่างที่ค่อนข้างกว้างในเป้าหมายบางเป้าหมาย อาทิ การลดความยากจนของเด็กลง การเพิ่มความเท่าเทียมกัน ปัญหาโรคอ้วนรุนแรงขึ้นและปัญหาสุขภาพจิตย่ำเเย่ลง
ยูนิเซฟได้จัดอันดับประเทศทั้ง 41 ชาติไว้ในตารางและ 7 ชาติอันดับต้นๆ ล้วนเป็นชาติในภูมิภาคนอร์ดิก ได้เเก่ นอร์เวย์ เดนมาร์ก สวีเดน ฟินเเลนด์และไอซ์เเลนด์ รวมทั้งเยอรมันและสวิสเซอร์เเลนด์ เเละประเทศ 7 ประเทศที่รั้งท้ายสุด ได้เเก่ ชิลี เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา บัลเเกเรีย โรเมเนีย อิสราเอลและตุรกี
Cuesta แห่งยูนิเซฟ กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า สหรัฐอเมริกาซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 37 และมีผลงานไม่ดีนักในเเง่ของการลดปัญหาความยากจน ความอดอยาก สุขภาพและคุณภาพของการศึกษา
Cuesta หัวหน้าฝ่ายนโยบายด้านสังคมและการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจแห่งยูนิเซฟ กล่าวว่า มีความรู้สึกประหลาดใจเเละไม่ประหลาดใจไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากเท่าที่ผ่านมา สหรัฐฯ ล้มเหลวในการลดปัญหาหลักๆ เหล่านี้มาตลอดอยู่เเล้ว ดังนั้น สหรัฐฯ จึงไม่ถือเป็นประเทศตัวชี้วัดในผลการศึกษานี้
รายงานของยูนิเซฟยังย้ำด้วยว่า ความมั่งคั่งและการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอในการช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดีเเก่เด็ก และยูนิเซฟกำลังเร่งเร้าให้ประเทศร่ำรวยยึดความต้องการของเด็กเป็นหัวใจความสำคัญในนโยบายของประเทศ