รัฐบาลอังกฤษเริ่มดำเนินมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางเข้ามาจาก 33 ประเทศที่ถูกจัดในกลุ่ม “สีแดง” ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงของการระบาดของโควิด-19 ในระดับสูง เพื่อหวังป้องกันไม่ให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่อื่นๆ แพร่เข้ามาในประเทศได้
มาตรการควบคุมการระบาดใหม่ของอังกฤษเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น และบังคับให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ต้องกักตัวอยู่ภายในห้องพักโรงแรมเป็นเวลา 10 วัน ขณะที่ ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอื่นๆ ที่ไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มดังกล่าว จะต้องกักตัวภายในบ้านพักของตนเป็นเวลา 10 วันและทำการทดสอบการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมด 2 ครั้ง
นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน กล่าวในวันจันทร์ด้วยว่า ตนจะเดินหน้าดำเนินการตามแผนเดิมที่จะอนุญาตให้โรงเรียนทั่วประเทศเปิดทำการเรียนการสอนได้ในวันที่ 8 มีนาคม แต่ระบุว่า ทุกอย่างจะต้องขึ้นอยู่กับ “ข้อมูล” ที่ชี้วัดทิศทางสถานการณ์ในประเทศ พร้อมกล่าวเสริมว่า อัตราการติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ในอังกฤษยังอยู่ในระดับที่สูงมากอยู่
ผู้นำอังกฤษ ย้ำว่า ตนจะดำเนินการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ด้วยความระมัดระวัง เพื่อว่า เมื่อมีการยกเลิกกฎทุกอย่างแล้ว จะไม่ต้องกลับมาใช้มาตรการเหล่านี้อีกเลย
ขณะเดียวกัน สื่อทางการของประเทศซิมบับเว รายงานในวันจันทร์ว่า รัฐบาลได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ชุดแรกจากบริษัท ซิโนฟาร์ม ที่รัฐบาลจีนบริจาคให้มาเรียบร้อยแล้ว โดยมีรายงานด้วยว่า ทางการซิมบับเวได้สั่งซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 600,000 โดสที่คาดว่าน่าจะนำส่งถึงในเดือนหน้า
อย่างไรก็ดี วัคซีนทั้งที่ได้รับแล้วและมีกำหนดจะมาถึงนั้น นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรจำนวน 14 ล้านคนในประเทศนี้
ส่วนที่อิสราเอล ทางการเปิดเผยว่า มีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปบ้างแล้ว แต่ทุกอย่างต้องช้าลงจากสิ่งที่นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู เรียกว่าเป็น “ข่าวปลอมและความเชื่อโชคลางที่บางครั้งเป็นความประสงค์ร้ายที่ถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของประชาชนและในอินเตอร์เน็ต”
สำนักข่าว The Associated Press รายงานว่า อิสราเอลได้สั่งขยายทีมงานเฉพาะกิจด้านดิจิทัลเพื่อจัดการกับการแพร่กระจายข้อมูลผิดๆ รวมทั้งมีการดำเนินแผนแจกจ่ายอาหารฟรีให้กับประชาชน เพื่อเชิญชวนให้เข้ามารับวัคซีนด้วย