หน่วยงานกำกับดูแลยาและเวชภัณฑ์ของรัฐบาลอังกฤษ (Medicines and Healthcare Products Regulatory Authority) อนุมัติวัคซีนต้านโคโรนาไวรัสของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) เป็นกรณีฉุกเฉินเมื่อวันพุธ ทำให้อังกฤษเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่จะเริ่มฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วกว่า 1.4 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วเกือบ 64 ล้านคน
วัคซีนดังกล่าวเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค (BioNTech) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติเยอรมัน โดยอังกฤษจะเริ่มให้วัคซีนแก่บุคลากรในระบบสาธารณสุข ผู้อาศัยและเจ้าหน้าที่ในสถานดูแลคนชรา เป็นลำดับแรกในสัปดาห์หน้า
การอนุมัติครั้งนี้มีขึ้นหลังจากไฟเซอร์ประกาศถึงผลการทดลองวัคซีนขั้นสุดท้ายที่ระบุว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ อังกฤษได้สั่งซื้อวัคซีนดังกล่าวล่วงหน้าไปแล้ว 40 ล้านโดส
อัลเบิร์ต โบร์ลา ประธานบริหารระดับสูงของไฟเซอร์ ระบุว่า การอนุมัติวัคซีนของอังกฤษถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของการต่อสู้กับโควิด-19 และทางบริษัทจะเดินหน้าขอรับการอนุมัติวัคซีนฉุกเฉินทั่วโลกเพื่อแจกจ่ายวัคซีนโดยทั่วถึงอย่างปลอดภัยต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปกำลังพิจารณาอนุมัติวัคซีนของไฟเซอร์ รวมทั้งวัคซีนของโมเดอร์นา (Moderna) บริษัทสัญชาติอเมริกันอีกเจ้า ที่ผลการทดลองระยะสุดท้ายระบุว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพราว 94 เปอร์เซ็นต์ โดยคาดว่าสหภาพยุโรปจะอนุมัติวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งตัวภายในสิ้นเดือนนี้
ทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นายังยื่นเรื่องขออนุมัติวัคซีนเป็นการฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA โดยคาดว่าสหรัฐฯ จะแจกจ่ายวัคซีนได้ภายในกลางเดือนนี้หากวัคซีนได้รับการอนุมัติ
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสเพิ่มขึ้น 4.36 ล้านคนในสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นราวสองเท่าของเดือนก่อนหน้านี้
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอพกินส์ ระบุด้วยว่า สหรัฐฯ ยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสมากที่สุดในโลกที่เกือบ 13.7 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 270,000 คน และข้อมูลจากโครงการอาสาสมัคร COVID Tracking Project ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้มีผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากอาการติดเชื้อโคโรนาไวรัส 98,961 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดตั้งแต่มีการระบาดของโคโรนาไวรัสในประเทศ