เมื่อเดือนมกราคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งผู้นำฝ่ายบริหาร ที่ห้ามพลเมืองจากหลายประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้เป็นประเทศมุสลิม
แต่การยื่นคำร้องคัดค้านจากกลุ่มต่างๆ เป็นผลให้ศาลชั้นต้นของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำสั่งยับยั้ง และทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องปรับแก้คำสั่งที่ว่านี้ถึง 3 ครั้งด้วยกัน
และเมื่อวันจันทร์ ศาลสูงสุดหรือศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งอนุญาตให้รัฐบาลบังคับใช้คำสั่งของผู้นำฝ่ายบริหารหรือ Executive order ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้แล้วในขณะนี้ แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญว่าจะต้องมีการไต่สวนรับฟังเหตุผลและข้อเท็จจริง เกี่ยวกับคำร้องคัดค้านดังกล่าวอย่างรวดเร็วในขั้นศาลอุทธรณ์ ก่อนที่เรื่องนี้จะเข้าสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาในขั้นท้ายสุด
คำสั่งของศาลฎีกาสหรัฐฯ ที่เพิ่งออกมาเมื่อวันจันทร์ หมายถึงว่าในขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถห้ามพลเมืองจากแปดประเทศ คือชาด อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซีเรีย เยเมน เวเนซุเอลา และเกาหลีเหนือ ไม่ให้เดินทางเข้าประเทศ
รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีทรัมป์ อ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงแห่งชาติในการห้ามบุคคลจากแปดประเทศนี้เดินทางเข้าสหรัฐฯ ในขณะที่กลุ่มซึ่งสนับสนุนสิทธิของผู้อพยพเข้าเมือง โต้แย้งว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการแบ่งแยกเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิม
นักวิเคราะห์ด้านกฎหมายให้ความเห็นว่า การตัดสินใจของศาลฎีกาสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้ฝ่ายบริหารสามารถบังคับใช้คำสั่งห้ามพลเมืองจากแปดประเทศเดินทางเข้าประเทศนี้ ดูจะเป็นการวินิจฉัยบนพื้นฐานของกระบวนการขั้นตอนการทำงาน เนื่องจากขณะนี้คำร้องคัดค้านดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
คำสั่งล่าสุดของศาลฎีกา ได้กลับคำวินิจฉัยซึ่งมีขึ้นก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายน ที่อนุญาตให้บุคคลผู้มีความสัมพันธ์อย่างแท้จริงอยู่ในสหรัฐฯ สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ และความสัมพันธ์ที่แท้จริงจากการวินิจฉัยก่อนหน้านี้ รวมถึงการเป็นสมาชิกในครอบครัว การเดินทางไปศึกษาต่อ หรือความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่มีอยู่ในสหรัฐ เป็นต้น
ความสำเร็จล่าสุดของฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากที่ถูกคำสั่งยับยั้งจากฝ่ายตุลาการมาหลายครั้งตั้งแต่ต้นปี มาจากการที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ปรับแก้ถ้อยคำและมาตรการห้ามให้มีความรัดกุม และเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น คำสั่งห้ามสำหรับประเทศอิหร่านนั้น จะมีผลเฉพาะต่อนักศึกษาอิหร่าน แต่ไม่มีผลต่อนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยว
ส่วนสำหรับโซมาเลีย คำสั่งดังกล่าวจะมีผลต่อชาวโซมาเลียผู้ต้องการอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในสหรัฐฯ แต่ก็ยังคงเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ไปเยือนด้วยเหตุผลอื่นๆ จากโซมาเลียอยู่ เป็นต้น
และหลังจากที่ศาลฎีกาอนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯ บังคับใช้คำสั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศของพลเมืองจากแปดประเทศ ซึ่งหกประเทศมีประชากรเป็นชาวมุสลิมแล้ว นาย Jeff Sessions รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวว่า การตัดสินใจของศาลสูงเมื่อวันจันทร์ นับเป็นชัยชนะอย่างสำคัญสำหรับความปลอดภัยและความมั่นคงของชาวอเมริกัน และจำเป็นเพื่อปกป้องประเทศจากภัยคุกคามต่างๆ
แต่สภาความสัมพันธ์อเมริกันมุสลิม ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวมุสลิมในสหรัฐฯ เรียกคำสั่งห้ามของประธานาธิบดีทรัมป์นี้ว่า เป็นการห้ามที่มุ่งเป้าต่อชาวมุสลิม