ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ร่วมประชุมสุดยอด Arab Islamic American Summit ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เช่นเดียวกับผู้นำโลกมุสลิมและประเทศอาหรับหลายสิบชาติ
ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางถึงกรุงริยาดห์เมื่อวันเสาร์ กล่าวว่าในคำแถลงสุนทรพจน์ว่า "ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนชาวอเมริกัน ในการนำข้อความแห่งมิตรภาพ ความหวังและความรักมาสู่ท่านทั้งหลาย นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกในฐานะผู้นำสหรัฐฯ มาที่สถานที่ที่เป็นหัวใจของโลกมุสลิมแห่งนี้”
ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกร้องให้ผู้นำประเทศอาหรับและมุสลิมแสดงให้ประชาชนประจักษ์ถึงอันตรายจากความคิดสุดโต่ง
ประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวว่า "ผู้นำศาสนาต้องแสดงความเข้าใจให้เห็นถ่องแท้อย่างสมบูรณ์ว่า ความป่าเถื่อนจะไม่นำชัยชนะมาให้ท่าน การเคารพความชั่วร้ายจะไม่นำมาซึ่งความสง่างามมาให้เช่นกัน"
นอกจากนั้นเขาเร่งเร้าให้ประเทศต่างๆ ลงมือปราบปรามกลุ่มที่เป็นภัยต่อความสงบสุขและสันติภาพ
“ผู้คนหลายพันล้านคนกำลังรอว่าพวกเราจะทำอย่างไรกับคำถามที่ว่า เราจะนิ่งเฉยต่อหน้าความชั่วร้ายหรือเราจะปกป้องประชาชนจากความคลั่งอุดมการณ์ที่รุนแรง เราจะปล่อยให้พิษร้ายนี้แพร่ไปทั่วสังคม และจะปล่อยให้มันทำลายสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกหรือไม่”
น่าสังเกตว่าครั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ใช้ข้อความว่า “กลุ่มก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง” หรือ “radical Islamic terrorism” ซึ่งเขาเคยใช้อยู่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้
โดยคำที่ถูกนำมาใช้แทนคือ “กลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความคิดอิสลามสุดโต่ง”
อาจารย์ Jocelyne Cesari ผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสนาอิสลามจากมหาวิทยาลัย George Washington ที่กรุงวอชิงตันกล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงการใช้ภาษาในสุนทรพจน์นี้ เธอคิดว่ามีการเปลี่ยนแนวทางและส่งสัญญาณว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่การแสดงทัศน์เกี่ยวกับอิสลามอย่างที่เคยทำขณะที่อยู่ในสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า "การต่อสู้กับการก่อการร้าย หมายความว่า ประเทศต่างๆ ต้องร่วมกันสู้กับการสังหารผู้บริสุทธิ์ชาวมุสลิม การกดขี่สตรี การลงโทษชาวยิว และการฆ่าชาวคริสต์"
เขาบอกว่าการมาครั้งนี้ไม่ใช่มาสั่งสอนประเทศต่างๆ ให้ทำตามที่สหรัฐฯ บอก แต่มาเพื่อเสนอความเป็นมิตรบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมเพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน
การร่วมประชมสุดยอด Arab Islamic American Summit ยังมีวาระด้านเศรษฐกิจและการทหารด้วย โดยกษัตริย์ซัลมานของซาอุดิอาระเบียและประธานาธิบดีทรัมป์ได้ร่วมลงนามความร่วมมือทางกลาโหมมูลค่ากว่าหนึ่งแสนล้านดอลลาร์เมื่อวันเสาร์
(รายงานโดย Steve Herman และ Ken Bredemeier / รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียง )