ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนให้เกิดความขุ่นเคืองในหมู่ชาวอังกฤษ ก่อนที่ผู้นำสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนกรุงลอนดอนอย่างเป็นทางการในวันจันทร์นี้
ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของอังกฤษฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีตอนหนึ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ ใช้คำเรียกเจ้าหญิงเมแกน มาร์เคิล พระชายาของเจ้าชายแฮรี และดัชเชสส์แห่งซัสเซ็กซ์ ว่า "Nasty" ซึ่งอาจแปลได้ว่า "น่ารังเกียจ"
พระราชินีเอลิซาเบ็ธจะทรงเป็นประธานในพระราชพิธีจัดเลี้ยงต้อนรับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันจันทร์ ที่พระราชวังบัคกิงแฮม
ซึ่งก่อนหน้าการสัมภาษณ์ที่ว่านี้ เกิดความกังวลในหมู่เจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษว่าอาจเกิดการ "ปะทะทางวัฒนธรรม" ระหว่าง ปธน.ทรัมป์ กับสมาชิกในราชวงศ์อังกฤษบางพระองค์ เช่น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และพระโอรสองค์ที่สอง คือเจ้าชายแฮรี พระสวามีของเจ้าหญิงเมแกน ที่ทรงมีบุคลิกโผงผาง ตรงไปตรงมา
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษ กล่าวว่า ปกติแล้วสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงมีประสบการณ์มากมายในการรับมือกับความขัดแย้งต่างๆ โดยใช้ความสุภาพนุ่มนวลเป็นหลัก แต่คาดว่าในการต้อนรับประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ อาจมีสมาชิกบางพระองค์ที่ทรงแสดงอาการมึนตึงบ้าง
เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ คือนักรณรงค์ผู้ทรงเอาจริงเอาจังในด้านสิ่งแวดล้อมมากว่า 40 ปี และทรงเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ยอมรับการที่ ปธน.ทรัมป์ ถอนสหรัฐฯ ออกจากสนธิสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวใกล้ชิดเชื่อว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์จะไม่ทรงทำผิดประเพณีทางการทูต ด้วยการหยิบยกเรื่องสนธิสัญญาดังกล่าวมาพูดกับประธานาธิบดีทรัมป์ก่อน นอกเสียจากว่าผู้นำสหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนั้นเอง ตามธรรมเนียมที่ว่าแขกผู้มาเยือนในระดับรัฐพิธีจะเป็นผู้เลือกหัวข้อในการเจรจา
สำหรับเจ้าหญิงเมแกน ดัชเชสส์แห่งซัสเซ็กซ์ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำสหรัฐฯครั้งนี้ เพิ่งทรงประสูติรัชทายาทพระองค์แรกไปเมื่อเดือนที่แล้ว และทรงอยู่ระหว่างการพักฟื้นหลังการคลอดบุตร
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์อังกฤษ เมแกน มาร์เคิล เคยเป็นนักรณรงค์ทางการเมือง และเคยกล่าวถึง ปธน.ทรัมป์ ว่า "ทำให้เกิดความแตกแยก" และ "ดูถูกสตรีเพศ" ระหว่างการหาเสียงของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2016
โดยในการให้สัมภาษณ์กับ นสพ.แท็บลอยด์ The Sun เมื่อวันเสาร์ ปธน.ทรัมป์ กล่าวถึงคำพูดของเมแกนว่า "น่ารังเกียจ" แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ แก้ต่างในเวลาต่อมาว่า ปธน.ทรัมป์ เพียงแค่พยายามปกป้องชื่อเสียงของตนเอง และว่าภายใต้บริบทนั้น คำว่า "Nasty" อาจจะแปลเป็นความหมายอื่นได้ว่า "ใจร้าย" หรือ "ช่างวิจารณ์" ก็ได้ จึงไม่ควรนำคำพูดนี้มาเป็นจริงเป็นจัง
เจ้าหน้าที่อเมริกันยังบอกด้วยว่า ปธน.ทรัมป์ ได้กล่าวถึงเจ้าหญิงเมแกนในด้านดีมากมาย และยังเรียกเธอว่า "เจ้าหญิงอเมริกัน" ด้วย
ด้าน ปธน.ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความตามมาว่า ตนไม่เคยใช้คำว่า "น่ารังเกียจ" กับเมแกน แต่เป็นเรื่องที่กุขึ้นโดยสำนักข่าวปลอม แม้ว่าทางนักข่าวของ Sun ผู้สัมภาษณ์ ปธน.ทรัมป์ จะเปิดเผยเสียงที่ได้ยินผู้นำสหรัฐฯพูดคำว่า "Nasty" อย่างชัดเจนก็ตาม
นอกจากประเด็นเรื่องคำที่ใช้เรียก ดัชเชสส์แห่งซัสเซ็กซ์ แล้ว ปธน.ทรัมป์ ยังตกเป็นเป้าวิจารณ์ในเรื่องการออกมาสนับสนุนนายบอริส จอห์นสัน อย่างเปิดเผย เพื่อให้เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษแทน เธเรซ่า เมย์ ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
นอกจากนั้น ยังแสดงท่าทีสนับสนุน ไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรค Brexit ให้เป็นผู้นำการเจรจาเพื่อแยกอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปให้ลุล่วงโดยเร็วด้วย
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่ ปธน.ทรัมป์ แสดงท่าทีสนับสนุนนายจอห์นสันและนายฟาราจ ผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการผลักดันให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป ถือเป็นการกระทำผิดธรรมเนียมทางการทูตระหว่างประเทศ หรืออาจเข้าข่ายแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศอื่นได้ โดยเฉพาะในช่วงที่อังกฤษกำลังเกิดความวุ่นวายในประเด็นเรื่อง Brexit เช่นนี้
ถึงกระนั้น ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว จอห์น โบลตัน กล่าวว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์จะทำทุกอย่างที่ต้องการจะทำ"
แม้การที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของประเทศอื่นนั้นจะไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลอังกฤษต่างกังวลว่า "การทิ้งระเบิด" ของผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้ อาจทำให้การเยือนอังกฤษเป็นเวลาสามวันนี้ไม่ราบรื่นอย่างทีี่คิด
(ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียงจากรายงานของ Jamie Dettmer)