คำมั่นของผู้นำ และเสียงจากประชาชน เมื่อ ‘ทรัมป์’ หวนคืนทำเนียบขาว

พิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2025 มีขึ้นในเงื่อนไขและบรรยากาศที่แตกต่างไปจากหลายปีที่ผ่านมาในหลายรูปแบบ ท่ามกลางประชาชนที่หลั่งไหลมารับชมการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในครั้งนี้

พลันที่พิธีปฎิญาณตนในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เสร็จสิ้น โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ขึ้นสู่การเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 โดยมีผู้มาร่วมเป็นสักขีพยานคับคั่ง ทั้งเหล่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้นำระดับสูงจากอาร์เจนตินา อิตาลี และจีน รวมถึงมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินให้กับทรัมป์ ทั้งเจฟ เบโซส อีลอน มัสก์ และมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้มาร่วมเป็นสักขีพยาน

ทรัมป์ประกาศว่า “ยุคทองของอเมริกา เริ่มต้น ณ บัดนี้”

ในพิธีที่ย้ายจากลานฝั่งตะวันตก เข้ามาข้างในโดมรัฐสภา เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นติดลบต่ำเกือบ 10 องศาเซลเซียส ทรัมป์แถลงในวาระการขึ้นดำรงตำแหน่งด้วยการวิจารณ์การทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขา รวมถึงประกาศแนวทางนโยบายในวาระนี้ เช่น ควบคุมจำนวนผู้อพยพ ถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ เพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน ไปจนถึงคำมั่นเรื่องการทวงคืนคลองปานามา และนำธงสหรัฐฯ ไปปักบนดาวอังคาร

ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่กล่าวว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไป ประเทศของเราจะรุ่งเรืองและได้รับความเคารพไปทั่วโลกอีกครั้ง”

กรุงวอชิงตันในวันสำคัญนี้ อยู่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ราว 25,000 คน รวมถึงรั้วความสูงสองเมตรกว่า ที่ตั้งคุ้มกันพื้นที่เป็นระยะทางรวม 30 ไมล์ ถือเป็นระยะทางที่มากที่สุดที่เคยมีการปิดกั้นพื้นที่มา ตามการรายงานของรอยเตอร์

ก่อนพิธีปฏิญาณตน ทรัมป์เข้าพบกับไบเดนที่ทำเนียบขาวและดื่มน้ำชาร่วมกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในธรรมเนียมของการเปลี่ยนผ่านที่กระทำกันมา ทั้งนี้ ทรัมป์ไม่ได้เข้าร่วมพิธีการเหล่านี้เมื่อปี 2021 เมื่อต้องส่งต่ออำนาจให้กับไบเดน ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ยังบุกอาคารรัฐสภาในวันที่คองเกรสประกาศรับรองผลการเลือกตั้งครั้งดังกล่าว

ในปีนี้ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดี เจ ดี แวนซ์ ขึ้นสู่ตำแหน่งพร้อมเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า การถืออำนาจนำทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ จะปูทางไปสู่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะใดต่อไป

ที่ด้านนอก ประชาชนผู้มาสังเกตการณ์ และผู้สนับสนุนผู้นำจากพรรครีพับลิกันรายนี้รวมตัวกันที่ลานเนชันแน่ล มอลล์ และสนามกีฬาแคปิตัล วัน อารีน่า ไม่ไกลออกไป เพื่อรอชมพาเหรดฉลองชัยชนะและสนับสนุนผู้นำของพวกเขา

ฟูอัด เซตอน อดีตนักมวยชาวซีเรีย ที่มาใช้ชีวิตในสหรัฐฯ กล่าวว่า มาที่นี่เพราะสนับสนุนทรัมป์ให้มาบริหารประเทศ และอยากให้รัฐบาลใหม่นี้ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรกับรัฐบาลใหม่ของซีเรีย ที่เพิ่งโค่นล้มอดีตผู้นำ บะชาร์ อัล อัซซาดไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

คริสทีน ผู้สนับสนุนทรัมป์ ขับรถ 5 ชั่วโมงมาจากรัฐคอนเนคทิคัต กล่าวว่า อยากเห็นรัฐบาลใหม่กำจัดการทุจริตคอรัปชั่นให้หมดไป และสหรัฐฯ สามารถภาคภูมิใจในตัวเองได้อีกครั้ง

เวสลีย์ โรบินสัน นักศึกษารัฐศาสตร์จากรัฐเซาธ์ แคโรไลนาวัย 21 ปี กล่าวว่า ไม่อยากเห็นสหรัฐฯ ไปพัวพันกับสงครามในต่างประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่านโยบายลดการเก็บภาษี และข้อเสนอกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์จะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจอย่างไร แต่คิดว่าอาจทำให้ประเทศแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว

• ข้อมูลเพิ่มเติมจากรอยเตอร์