ในวันพฤหัสบดีตามเวลาในสหรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีมติด้วยคะแนน 232 ต่อ 196 อนุมัติให้มีการไต่สวนเรื่องการถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐออกจากตำแหน่งได้อย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน
โดยการลงคะแนนดังกล่าวเป็นไปตามคะแนนเสียงของทั้งสองพรรคในสภา คือ 232 เสียงนั้นเป็นของพรรคเดโมแครต และอีก 196 เสียงส่วนใหญ่แล้วเป็นของพรรครีพับลิกัน โดยมีส.ส. ของพรรคเดโมแครตร่วมออกเสียงคัดค้านด้วยสองคน
การลงมติครั้งนี้สะท้อนถึงความแตกแยกทางการเมืองในสหรัฐฯ ในขณะนี้ ภายหลังการลงมติดังกล่าวแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทวีตโจมตีว่าเรื่องนี้เป็น "การไล่ล่าแม่มดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน"
ส่วนโฆษกทำเนียบขาวก็มีคำแถลงว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ทำอะไรผิด และการไต่สวนในสภาซึ่งอาจนำไปสู่การเสนอญัตติเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีนี้ไม่ยุติธรรม ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และไม่มีความเป็นอเมริกัน
แต่ ส.ส. แนนซี่ พีโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่าไม่มีใครที่สมัครเข้ามาทำงานในสภาเพื่อตั้งใจจะถอดถอนประธานาธิบดี เว้นเสียแต่ว่าการทำงานของผู้นำฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ นั้นสร้างความเสื่อมเสียและขัดต่อการให้สัตย์ปฏิญาณเรื่องการทำหน้าที่โดยชอบธรรม
เรื่องดังกล่าวสืบเนื่องมาจากข้อกล่าวหาที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์พยายามกดดันประธานาธิบดีของยูเครนให้สอบสวนข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นของนายฮันเตอร์ ไบเดน ซึ่งเป็นบุตรชายของอดีตรองประธานโจเซฟ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้สมัครระดับแนวหน้าของพรรคเดโมแครตในขณะนี้ และอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งทั่วไปของสหรัฐฯ ในปีหน้าด้วย
โดยการกดดันนี้เป็นการแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือทางทหารที่รัฐสภาสหรัฐฯ ให้การอนุมัติต่อยูเครนแล้ว
และถึงแม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะปฏิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนแบบเอื้อประโยชน์กับผู้นำของยูเครนก็ตาม แต่หลังจากที่มีรายงานเรื่องนี้ ได้มีนักการทูตอเมริกันที่เกี่ยวข้องหลายคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว ไปแถลงให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่ไต่สวนกรณีดังกล่าว ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้ยูเครนช่วยเหลือตนเพื่อให้ได้ประโยชน์ทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้งในสหรัฐ