บริษัทวิจัยการตลาด Euromonitor International เปิดเผยผลการจัดอันดับ 100 Top Tourist Destination ประจำปีนี้ โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาจากการรวบรวมข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อปีก่อน ที่เดินทางไปเยือนเมืองใหญ่ทั่วโลก และต้องใช้เวลาอยู่ในเมืองนั้นไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง รวมทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเดินทางมาเยือนเมืองดังกล่าวในปีนี้ด้วย
โดยเมื่อปีก่อนมีตัวเลขทริประหว่างประเทศราว 1 พัน 2 ร้อยล้านเที่ยว และกว่าครึ่งหนึ่งเป็นเส้นทางไปเยือนเมืองที่ติด 100 อันดับแรกทั้งสิ้น
อันดับ 5 – มาเก๊า แหล่งคาสิโนที่ดึงดูดนักเสี่ยงโชคได้ไม่เสื่อมคลาย ด้วยยอดนักท่องเที่ยว 15 ล้าน 3 แสน 9 หมื่นคน และคาดว่าในปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวไปเยือน 16 ล้าน 3 แสนคน เพิ่มขึ้น 5.9% จากปีก่อน
อันดับ 4 – สิงคโปร์ หนึ่งในประเทศที่มีมนต์ขลังสำหรับ Backpacker หน้าใหม่ ปีก่อนมียอดนักท่องเที่ยงไปเยือน 16 ล้าน 6 แสนคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.4% หรือราว 17.6 ล้านคนในปีนี้
อันดับ 3 – กรุงลอนดอน เกาะขาเก้าอี้แน่นที่อันดับ 3 ด้วยนักท่องเที่ยว 19 ล้าน 2 แสนคนในปีก่อน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 19 ล้าน 8 แสนคนในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าหลังประชามติแยกตัว ซึ่งทำให้ยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวสูงสุดในยุโรปด้วย
อันดับ 2 – กรุงเทพมหานครฯ คว้าอันดับ 2 ที่ยอดนักท่องเที่ยว 21 ล้าน 2 แสน 5 หมื่นคนในปีที่แล้ว และจะเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ในปีนี้ หรือราว 23 ล้าน 2 แสน 7 หมื่นคน
และอันดับ 1– ฮ่องกง แชมป์เก่ายังเก๋า แม้ปีนี้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจีน แต่ Euromonitor เชื่อว่าจะเป็นผลกระทบในระยะสั้น และเห็นได้ชัดว่าฮ่องกงยังสามารถป้องกันแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 9 ด้วยนักท่องเที่ยว 26 ล้าน 5 แสน 5 หมื่นคนเมื่อปีก่อน และลดลงมาที่ 25 ล้าน 7 แสนคนในปีนี้ ลดลง 3% ในปีนี้
ที่น่าสนใจในการจัดอันดับของ Euromonitor International ระบุว่า เมื่อเจาะเป็นรายทวีปจะพบว่า เอเชีย คือ ผู้นำด้านเมืองท่องเที่ยวของโลก โดยในปีนี้มี 41 เมืองใหญ่ในเอเชียที่ติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม และคาดว่าใน 8 ปีข้างหน้า หรือปี 2025 จะมีเมืองใหญ่ในเอเชียติดอันดับเพิ่มเป็น 47 เมือง หรือเกือบครึ่งหนึ่งของการจัดอันดับเลยก็ว่าได้
Wouter Geerts นักวิเคราะห์อาวุโสด้านการท่องเที่ยวของ Euromonitor และผู้จัดทำรายงานนี้บอกว่า จีนคือตัวขับเคลื่อนสำคัญในภาคการท่องเที่ยวของเอเชีย เพราะประเทศหรือดินแดนที่มีข้อพิพาทหรือความสัมพันธ์ตึงเครียดกับจีน จะได้รับผลกระทบด้านการท่องเที่ยวในปีนี้ อย่าง ฮ่องกง ที่ยอดนักท่องเที่ยวอาจลดลงราว 3% ในปีนี้ เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ที่ยอดนักท่องเที่ยวลดลงอย่างฮวบฮาบถึง 15% เหลือเพียง 7 ล้าน 5 แสน 6 หมื่นคนภายในปีเดียว
ขณะที่ ยุโรป เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัจจัยสำคัญของการท่องเที่ยว คือ ความกังวลเรื่องการก่อการร้าย เมืองใหญ่อย่างกรุงบรัสเซลส์ ปารีส นีซ และนครอิสตันบูล ต่างได้รับผลกระทบจากปัจจัยนี้กันทั้งสิ้น และมีอยู่หนึ่งเมืองที่โดดเด่นในปีนี้ คือ Heraklion (ฮีราคลีออน) ท่าเรือบนเกาะครีต ประเทศกรีซ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 11.2%
ส่วนทวีปอเมริกา มหานครนิวยอร์ก ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ต่อเนื่อง ที่ 13 ล้าน 1 แสนคนในปีนี้ และไมอามี รัฐฟลอริดา คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนราว 8 ล้านคน
แต่ปัจจัยสำคัญของการท่องเที่ยวในทวีปอเมริกา คือ นโยบายเรื่องวีซาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความปั่นป่วนและกระทบการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวอย่างมาก และกระทบกับการท่องเที่ยวของเม็กซิโก เพราะชาวอเมริกันจะไปเยือนกันน้อยลงกว่าเดิมในปีนี้ แต่ยังได้แรงหนุนจากความนิยมในหมู่ชาวยุโรปและเอเชีย
ขณะที่ตะวันออกกลางและแอฟริกา นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนเพิ่มขึ้น 11.2% หรือราว 17 ล้านคนในปีนี้ และนครเมกกะ ซาอุดีอารเบีย จะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนเพิ่มขึ้น 9.8% หรือราว 8 ล้าน 7 แสนคนในปีนี้
ปิดท้ายที่ทวีปแอฟริกา มีเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ที่ติด 100 อันดับเป็นเมืองเดียวของแอฟริกา หลังการปรับปรุงนโยบายยกเว้นวีซา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมื่อปีก่อน