เมื่อเวลาในสหรัฐฯ ถึง 02.00 น. ของวันอาทิตย์ เข็มนาฬิกาทวนกลับไป 1 ชั่วโมงเพื่อแสดงการสิ้นสุดของช่วงเวลาการออมแสง (daylight saving time – DST) ของปีนี้ และแปลว่า ทุกคนในสหรัฐฯ มีเวลานอนเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง
การปรับเวลาเร็วขึ้นนี้จะมีผลต่อไปอีกจนกระทั่งถึงวันที่ 9 มีนาคมของปีหน้าที่จะต้องมีการปรับเข็มชั่วโมงนาฬิกาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ดังคำพูดที่ว่า “spring forward” ที่แปลได้ว่า ฤดูใบไม้ผลิ-ก้าวไปข้างหน้า และ “กระโดดไปข้างหน้า” เพื่อการ “ออมแสง” อีกครั้ง
ขณะที่ การปรับเวลาถอยหลังปีละครั้งนี้อาจไม่เป็นปัญหามากสำหรับคนหลายคน บางคนอาจต้องพยายามปรับตัวให้คุ้นกับเวลานอนที่เร็วขึ้น รวมทั้งทำใจกับการที่เห็นฟ้ามืดสนิทหลังเลิกงาน และบางคนอาจมีปัญหาหนักถึงขั้นมีอาการซึมเศร้า (depression) ตามฤดูกาล เนื่องจากวันที่สั้นลงและการเจอแสงแดดที่น้อยลงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว
องค์กรสุขภาพบางแห่ง เช่น American Medical Association และ American Academy of Sleep Medicine ให้ความเห็นว่า ถึงเวลาที่จะมีการพิจารณาการยกเลิกนโยบายปรับเวลาเดินหน้าและถอยหลัง และยึดเวลามาตรฐานที่สะท้อนการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และระบบชีววิทยาของคนเรามากกว่า
ในสหรัฐฯ มีเพียงรัฐแอริโซนาและรัฐฮาวาย เท่านั้นที่ไม่มีการปรับเวลาและยึดเวลามาตรฐานเดียวตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้คือ สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการปรับเวลาปีละ 2 ครั้ง
ปฏิกิริยาของร่างกายคนเราต่อแสง
สมองของเรานั้นเป็นเหมือนนาฬิกาหลักที่ถูกตั้งให้ทำงานตามการรับแสงแดดและความมืด โดยอิงกับเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันตามวงจรเซอร์คาเดียน (circadian rhythm) เพื่อกำหนดว่า เราควรรู้สึกง่วงนอนเมื่อใดและควรรู้สึกตื่นเมื่อใด โดยรูปแบบนั้นจะเปลี่ยนไปตามอายุด้วย ดังเช่นที่เราเห็นเด็กเล็กที่ตื่นแต่เช้ากลายมาเป็นวัยรุ่นที่ตื่นยากกันเป็นประจำ
แสงยามเช้านั้นเป็นเหมือนตัวตั้งเวลาใหม่ทุกเช้า โดยเมื่อเวลาเย็นมาถึง ฮอร์โมนที่ชื่อ เมลาโทนิน ในร่างการเราก็จะเริ่มพุ่งสูงและทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน แต่การได้รับแสงมากเกินไปในช่วงเย็น ซึ่งได้มาจากการปรับเวลาออมแสง ทำให้การปรับขึ้นของฮอร์โมนที่ว่าและวัฏจักรดังกล่าวผิดเพี้ยนไป
การเปลี่ยนเวลากระทบการหลับนอนอย่างไร
การเปลี่ยนเวลาเพียง 1 ชั่วโมงอาจมีผลทำให้ตารางการนอนของคนเราผิดเพี้ยนรุนแรงได้ เพราะแม้เวลาตามนาฬิกาจะเปลี่ยน ตารางการทำงานหรือการเรียนหนังสือก็จะยังคงเหมือนเดิมเสมอ
นี่เป็นปัญหาสำหรับคนหลายคนที่มีปัญหานอนไม่พออยู่แล้ว โดยราว 1 ใน 3 ของคนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่นอนน้อยกว่าระดับ 7 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นต่อคืนตามที่แพทย์แนะนำอยู่แล้ว และกว่าครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอเมริกันก็ไม่ได้นอนมากกว่า 8 ชั่วโมงในคืนวันกลางสัปดาห์ด้วย
ปรับตัวรับการเปลี่ยนเวลาอย่างไร
บางคนพยายามเตรียมตัวรับการปรับเวลาด้วยการเปลี่ยนเวลาเข้านอนทีละน้อย ๆ ก่อนวันเปลี่ยนเวลาจะมาถึง แต่ก็มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอยู่ เช่น การพยายามรับแสงแดดมากขึ้นในแต่ละวันเพื่อปรับวงจรเซอร์คาเดียนในร่างกายให้พร้อมรับการนอนที่เต็มอิ่ม
- ที่มา: เอพี
กระดานความเห็น