แรงกระเพื่อมหนึ่งที่เห็นได้จากไทย ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนหลังจากคำสั่งระงับงบช่วยเหลือต่างชาติจากสหรัฐฯ คือผลกระทบในสนามงานสื่อสารของสื่ออิสระและการสร้างเสริมศักยภาพนักข่าว
“แจ้งเราวันที่ 22 - 23 แล้วบอกให้ยุติภายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเป็นเดือน แจ้งก่อนสักวันสองวัน ซึ่งทําให้เราทําอะไรไม่ทันและไม่ได้เตรียมการอะไรทั้งนั้น รวมทั้งงบประมาณที่บริหารงานองค์กรก็ถูกตัด งบประมาณที่จะให้นักข่าวก็ไม่มี”
นันทา เบญจศิลารักษ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิสื่อประชาธรรม สื่อท้องถิ่นใน จ.เชียงใหม่ บอกเล่าเรื่องที่แหล่งทุนจากสหรัฐฯ แจ้งอย่างกระชั้นชิดว่างบบริหารงานประจำปีในส่วนที่เหลือนั้นต้องถูกระงับชั่วคราว
เงินบริหารองค์กรที่หายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้งานสื่อสารข่าวจากท้องถิ่น และเสริมสร้างศักยภาพสื่อพลเมืองในพื้นที่ 8 จังหวัดของภาคเหนือต้องหยุดไปบางส่วน
เมื่อ 20 มกราคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ระงับเงินช่วยเหลือไปยังต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน เพื่อให้กรุงวอชิงตันทบทวนระบบและโครงการที่ทำเนียบขาวระบุว่า “ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกา และในหลายกรณี อยู่ตรงข้ามกับค่านิยมของอเมริกา”
หลังจากนั้นไม่นาน องค์กรที่รับทุนจากสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงไทย ตั้งแต่สถานพยาบาลตามชายแดน องค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัย และเรื่องราวผลกระทบล่าสุดมาจากฟากฝั่งของงานสื่อสารมวลชน
น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลกับวีโอเอไทยว่า โครงการเสริมศักยภาพนักข่าวด้านงานสืบสวนสอบสวนและประเด็นข่าวสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีแผนจัดหลายรอบในปีนี้ ต้องหยุดลงหลังจัดไปเพียงหนึ่งครั้ง หลังทุนจากสถานทูตสหรัฐฯ ถูกระงับ
“เราก็พยายามคิดวิธีการอื่น ๆ ที่จะมาแก้ปัญหาในระยะที่กระชั้นชิดนี้ อย่างเช่นของสมาคมก็มองว่าเราคงจะต้องหาสปอนเซอร์เจ้าใหม่ ๆ เข้ามา และสปอนเซอร์นั้นก็คือต้องเป็นสปอนเซอร์ที่มองเห็นความสําคัญในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพสื่อ” น.รินี กล่าว
นายกสมาคมนักข่าวฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าทางสมาคมฯ มีพันธมิตรหลายแห่ง รวมถึงได้รับทุนจากสถานทูตจีน แต่ในตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินใจใด ๆ เรื่องการเข้ามาทดแทนในส่วนที่สหรัฐฯ ระงับไป
อีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวประชาไท ได้รับแจ้งว่างบประมาณจากสหรัฐฯ ที่ได้รับผ่านแหล่งทุนถูกระงับชั่วคราว คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของงบบริหารงานองค์กรประจำปี
มุทิตา เชื้อชั่ง บรรณาธิการบริหารประชาไท กล่าวว่าทีมงานต้องพักโครงการข่าวด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศและกลุ่มชาติพันธุ์ และต้องนำเงินส่วนอื่นมาใช้อุดหนุนบางโครงการที่ขาดงบไป
มุทิตามองว่าประชาไทที่ทำข่าวเชิงลึกเกี่ยวกับคนชายขอบในสังคม รวมถึงแง่มุมอ่อนไหวเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในไทย เช่นประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือบทบาทของสถาบันกษัตริย์กับการเมือง ทำให้หาทุนในประเทศได้ลำบาก แต่งานเหล่านี้ยังสำคัญเพื่อที่จะให้ข้อมูลที่รอบด้านแก่สังคม โดยเฉพาะในเรื่องที่สื่อกระแสหลักบ่อยครั้งมักไม่พูดถึง
“มันมีเงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างในด้านความอยู่รอดของเขา (สื่อกระแสหลัก) ด้วย เขาจะมาโฟกัสสิ่งที่ไม่เป็นที่นิยม จะมาทุ่มเทสรรพกําลัง ทุ่มเทเวลาให้เหรอ
“ฉะนั้น องค์กรทํานองนี้ที่มีเป้าหมายเรื่องพวกนี้แล้วได้รับทุนสนับสนุนอย่างอื่น มันไม่ได้อยู่ในภาคธุรกิจที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเนี่ยมันก็สามารถจะใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อช่วยคลี่ขยายปัญหาเหล่านี้ซึ่งมันเป็นปัญหาจริง ๆ ” บรรณาธิการบริหารประชาไทกล่าว
ที่ผ่านมามีหลายเสียงที่เข้าใจและสนับสนุนการตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศ เช่น สถาบันเคโต้ (Cato Institute) คลังความคิดเเนวอนุรักษ์นิยม ที่ มองว่าสหรัฐฯ ต้องทบทวนเป้าหมายและปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงการช่วยเหลือต่างประเทศ ส่วนจิม ริช วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มองว่าถึงเวลาที่ควรทบทวนการใช้จ่ายในวันที่ประเทศมีหนี้สินหลายสิบล้านล้านดอลลาร์
อีกด้านหนึ่ง การตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้ อาจส่งผลสะเทือนถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ บนเวทีโลก
ลิซ่า บรูเทน ศาสตราจารย์ด้านวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซาเธิร์นอิลลินอยส์ วิทยาเขตคาร์บอนเดล ผู้ศึกษาเรื่องขบวนการสื่ออิสระในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวกับวีโอเอไทยว่า การสนับสนุนสื่อและภาคประชาชน ถือเป็นหนึ่งใน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของสหรัฐฯ ในการสร้างหุ้นส่วนทางประชาธิปไตย
เธอระบุว่า หากรัฐบาลวอชิงตันถอนอิทธิพลอื่นนอกเหนือจากเรื่องการทหารออกจากพื้นที่นี้ ก็เท่ากับปล่อยให้จีนรวมถึงชาติเผด็จการอื่น ๆ มีโอกาสสร้างอิทธิพล โดยที่ประชาสังคมหรือสื่อที่เคยตั้งคำถามกับเรื่องเหล่านี้อาจจะต้องหดหายไป
หทัยรัตน์ พหลทัพ บรรณาธิการบริหารสำนักข่าวเดอะอีสานเรคคอร์ด สื่อท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นอีกสื่อที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากมีโครงการด้านการสื่อสารและอบรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checking) ที่ได้รับทุนผ่านสถานทูตสหรัฐฯ
เธอเล่าว่า การทำงานของอีสานเรคคอร์ดและสื่อท้องถิ่นอื่น ทำให้เรื่องราวในพื้นที่ถูกนำเสนอต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในบริบทที่สื่อใหญ่ ๆ ในไทยรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ
“พอมีสื่อที่อยู่ตามพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น มันทําให้เสียงของคนต่างจังหวัดมันดังขึ้นและดังต่อเนื่อง มันไม่เหมือนกับสตริงเกอร์ที่ทําตามการทํางานของนักข่าวส่วนกลาง และทําประเด็นหนึ่งแล้วก็หายไป หรือว่าการการที่นักข่าวส่วนกลางส่งคนลงไปพื้นที่แป๊บเดียวก็แล้วก็หายไป ไม่ได้เป็นประเด็นต่อเนื่องหรือติดตามต่อ มันก็ทําให้ข่าวนั้นไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง” หทัยรัตน์กล่าว
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ศาลรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตันมีคำสั่งให้รัฐบาลทรัมป์และกระทรวงการต่างประเทศ เพิกถอนการระงับงบประมาณแบบยกแผงเป็นการชั่วคราวภายในวันอังคารนี้ ทว่า ทางรัฐบาลอธิบายว่าได้พิจารณาโครงการต่าง ๆ และเชื่อว่ายังเดินหน้าต่อได้ตามเดิม เป็นเหตุให้ภาคประชาสังคมยื่นฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นคำสั่งศาลในวันพุธที่ผ่านมา ตามการรายงานของรอยเตอร์
วีโอเอไทยติดต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อสอบถามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับในช่วงเวลาที่เผยแพร่งาน
วีโอเอไทยติดต่อไปยังกองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ NED องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสภาคองเกรส หนึ่งในผู้มอบทุนจากสหรัฐฯ บางส่วนให้กับประชาสังคมหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงประชาไทและเดอะอีสานเรคคอร์ด แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน
กระดานความเห็น