ในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารในประเทศไทยได้กลายมาเป็นผู้ให้บริการทางการเงินหลักและเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุนจากนานาชาติให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา หลังรัฐบาลสิงคโปร์ดำเนินการปิดบัญชีทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกองทัพเนปิดอว์
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยแพร่รายงานที่มีชื่อว่า “Banking on the Death Trade: How Banks and Governments Enable the military Junta in Myanmar” ออกมาในวันพุธและที่ตรวจสอบบทบาทของสองประเทศสมาชิกอาเซียนในด้านการจัดหาอาวุธและเสบียงทางทหารให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา รวมทั้งสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา และวิธีการที่รัฐบาลทหารใช้ในการจัดซื้อจัดหาอาวุธแทนที่แหล่งก่อน ๆ ที่ถูกปิดกั้นภายใต้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจโดยสหรัฐฯ สหภาพยุโรปและนานาประเทศ
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า บริษัทต่าง ๆ ในไทยรับหน้าที่ให้บริการด้านการเงินและการจัดหาอาวุธแทนที่ธุรกิจในสิงคโปร์ที่เคยค้าขายกับสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC - State Administration Council) ซึ่งเป็นชื่อทางการของรัฐบาลทหารเมียนมา โดยรายงานว่า สภาบริหารแห่งรัฐ “ยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับเครือข่ายวงกว้างของภาคการธนาคารระหว่างประเทศเพื่อรักษาไว้ซึ่งเสบียงอาวุธของตนและทำให้ตนยังคงยืนหยัด(ปกครองประเทศ)ต่อไป”
โธมัส แอนดรูวส์ ผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมา กล่าวว่า ในปี 2023 บริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยดำเนินการจัดส่งอาวุธและวัสดุต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเป็นมูลค่ากว่า 120 ล้านดอลลาร์ไปให้รัฐบาลทหารเมียนมา โดยตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าจากปี 2022 โดยสิ่งที่มีการจัดส่งผ่านประเทศไทยไปในปีที่แล้วมีชิ้นส่วนของเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-17 และ Mi-35 ที่กองทัพเมียนมาเคยซื้อจากสิงคโปร์อยู่ด้วย
นิคเคอิ เอเชีย รายงานว่า รัฐบาลหลายประเทศและธนาคารหลายแห่งได้ตอบรับการขอข้อมูลจากผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติ และให้คำอธิบายเพิ่มเพื่อใช้ประกอบรายงานชิ้นนี้ ยกเว้น ธนาคารไทยพาณิชย์และรัฐบาลของไทยที่ไม่ตอบรับคำร้องขอที่ว่า
การตรวจสอบในรายงานชิ้นนี้พบว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ รับผิดชอบถึงราว 80% ของธุรกรรมที่เกี่ยวกับกองทัพเมียนมา โดยตัวเลขการโอนเงินผ่านธนาคารแห่งนี้พุ่งขึ้นจาก 5 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 มาเป็นถึงกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2023
เอพีและนิคเคอิ เอเชีย ระบุด้วยว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ได้ตอบรับการขอความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้
ส่วนธนาคารกสิกรไทยซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศยืนยันกับผู้รายงานพิเศษของยูเอ็นว่า ได้ยุติความสัมพันธ์ด้านบริการทางธนาคารกับ Myanmar Foreign Trade Bank ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐบาลหลังสถาบันการเงินเมียนมานี้ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ลงโทษเมื่อปี 2023
นอกจากนั้น ปริมาณธุรกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพเมียนมาผ่านธนาคารกสิกรไทยก็ลดลงจากระดับ 35 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 มาเหลือเพียง 5 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ด้วย
ธนาคารกสิกรไทยยังตอบกลับคำร้องขอความเห็นของนิคเคอิ เอเชีย ด้วยว่า “เราไม่อนุญาตให้การจัดซื้อจัดจ้างอาวุธและสรรพาวุธผ่านบัญชีของเรา” และว่า “ธนาคารจะดำเนินการที่จำเป็นทุกอย่างทันทีเพื่อระงับธุรกรรมต่าง ๆ และปกป้องบัญชีของเราที่เกี่ยวข้องกับองค์กรทางทหารของเมียนมา”
ทั้งนี้ รายงานของยูเอ็นนี้ให้ความเห็นว่า “ถ้ารัฐบาลของไทยจะดำเนินการที่ตอบรับข้อมูลที่ว่านี้ ดังเช่นที่รัฐบาลของสิงคโปร์ทำไปเมื่อปีก่อน ความสามารถของ SAC ในการโจมตีประชาชนชาวเมียนมาก็จะลดความรุนแรงไปอย่างมีนัยสำคัญ”
ขณะเดียวกัน โธมัส แอนดรูวส์ ผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติ ยังคงร้องขอให้ธนาคารทั้งหลายตรวจสอบธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารของเมียนมา โดยกล่าวว่า แรงกดดันจากภาคการเงินระหว่างประเทศคือ หนึ่งในไม่กี่อย่างที่จะช่วยหยุดความรุนแรงที่ขยายวงเพิ่มขึ้นในประเทศนี้ได้
แอนดรูวส์ กล่าวด้วยว่า “การที่รัฐบาลทหารเมียนมาสามารถพึ่งพาสถาบันการเงินที่ยินดีที่จะทำธุรกิจร่วมกับธนาคารที่รัฐบาลเมียนมาเป็นเจ้าของและกองทัพควบคุมอยู่ ทำให้(รัฐบาลทหาร)สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตนต้องการเพื่อนำไปใช้ในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ อันรวมถึง การโจมตีทางอากาศเข้าใส่พลเรือนด้วย” และว่า “ธนาคารระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ให้ความสะดวกดูแลธุรกรรมเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารของรัฐบาลเมียนมากำลังมีความเสี่ยงสูงในการสนับสนุนให้กองทัพโจมตีเข้าใส่พลเรือนเมียนมา ผมร้องขอให้หยุดทำการเช่นนั้นเสีย ธนาคารมีภาระผูกพันที่จะไม่อำนวยความสะดวกต่อการก่ออาชญากรรม – และนั่นรวมความถึงอาชญกรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” อ้างอิงจากเว็บไซต์ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
ผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติ ยังให้ความเห็นเปรียบเทียบสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในสิงคโปร์และไทย ด้วยระบุว่า “ตัวอย่างของสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลที่มีความมุ่งมั่นทางการเมืองเพียงพอสามารถทำให้เกิดความแตกต่างอันมีนัยสำคัญต่อการเป็นผู้ค้าความตายของเมียนมา ประเทศไทยมีโอกาสที่จะทำตามตัวอย่างอันทรงพลังนี้ด้วยการดำเนินการต่าง ๆ ที่จะจัดการกับความสามารถของรัฐบาลทหารในการเดินหน้ายกระดับการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ผมร้องขอให้ทำเช่นนั้นด้วย”
รายงานล่าสุดของยูเอ็นนี้มีออกมา ขณะที่ รัฐบาลไทยเดินหน้ายื่นขอร่วมเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาติที่จะมีการคัดเลือกในเดือนตุลาคม โดยนิคเคอิ เอเชีย ชี้ว่า รัฐบาลไทยนั้นต่างจากรัฐบาลสิงคโปร์ตรงที่ไม่มีจุดยืนในที่สาธารณะอันชัดเจนว่า คัดค้านการจัดส่งอาวุธให้รัฐบาลทหารเมียนมา
นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลพลเรือนที่นำโดยนาง ออง ซาน ซู จี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 ประเทศไทยกลายมาเป็นจุดหมายของผู้ลี้ภัยชายเมียนมานับแสนคน โดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเมียนมา The Assistance Association for Political Prisoners รายงานว่า พลเรือนชาวเมียนมากว่า 5,300 คนถูกสังหารด้วยน้ำมือของกองทัพในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ กลุ่มสังเกตการณ์อื่น ๆ ประเมินว่า ตัวเลขนี้น่าจะสูงถึงกว่า 50,000 คน
- ที่มา: นิคเคอิ เอเชีย, เอพี และองค์การสหประชาชาติ
กระดานความเห็น