สำนักข่าวเอพีรายงานผลการศึกษาที่ชี้ว่า ผู้ชมโทรทัศน์ที่เชื่อถือสถานีข่าว ฟ็อกซ์ นิวส์ (Fox News Channel) และสื่อที่เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มอนุรักษ์นิยมในอเมริกา มีแนวโน้มที่จะเชื่อในข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับโควิด-19 และวัคซีน มากกว่าผู้ที่รับสื่ออื่น ๆ
การศึกษาของ Kaiser Family Foundation ที่เปิดเผยในสัปดาห์นี้ พบความเชื่อมโยงระหว่างสื่อต่าง ๆ ที่ผู้คนเลือกเปิดรับกับปริมาณข้อมูลผิด ๆ ที่พวกเขาเชื่อ โดยไม่จำเป็นว่าข้อมูลที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวจะมาจากสื่อที่พวกเขาเปิดรับนั้นโดยตรงหรือไม่
ลิซ ฮาเมล ผอ.ฝ่ายประชามติและการวิจัยสำรวจของ Kaiser Family Foundation กล่าวว่า "อาจเป็นเพราะผู้คนที่เปิดรับสื่อเหล่านั้นมีเชื่อในข่าวลวงเรื่องโควิดอยู่แล้วก็เป็นได้"
ในการสำรวจครั้งนี้ Kaiser ใช้วิธีสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับข่าวลวง 7 เรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 ที่ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น รัฐบาลเติมแต่งตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ให้มากเกินความเป็นจริง รัฐบาลซุกซ่อนตัวเลขผู้เสียชีวิตจากวัคซีนโควิดที่แท้จริงเอาไว้ รวมทั้งอันตรายต่าง ๆจากวัคซีนดังกล่าว เช่น ทำให้เป็นหมัน ทำให้ดีเอ็นเอเปลี่ยน หรือฝังไมโครชิพเอาไว้ เป็นต้น
โดยในกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่ารับข่าวจากช่อง Fox News มีอยู่ราว 36% ที่บอกว่าเชื่อหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับข่าวลวงเหล่านั้นมากกว่า 4 ข่าว เทียบกับ 46% ของผู้ที่รับข่าวจาก Newsmax และ 37% ที่เชื่อถือข่าวจาก One America Network News ซึ่งล้วนเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มอนุรักษ์นิยมในอเมริกา
ขณะเดียวกัน ในกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่ารับข่าวจากสถานีข่าวหลักอื่น ๆ เช่น NPR, CNN และ MSNBC มีอยู่ราว 11% - 16% ที่บอกว่าเชื่อหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับข่าวลวงเกี่ยวกับโควิดมากกว่า 4 ข่าว
โดยข่าวลวงที่มีผู้หลงเชื่อมากที่สุดในการสำรวจครั้งนี้ คือข่าวว่ารัฐบาลอเมริกันทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากและน่ากลัวเกินจริง ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างราว 60% ที่เชื่อในข่าวนี้หรือไม่แน่ใจว่าเป็นข่าวจริงหรือไม่
ความแตกต่างของการเลือกรับข่าวสารนี้ยังแสดงออกมาในรูปแบบของการแบ่งแยกทางการเมืองด้วย กล่าวคือ มีผู้ชื่นชอบพรรคเดโมแครตราว 65% ที่บอกรับข่าวาารเกี่ยวกับโควิดจากสถานีข่าว CNN เทียบกับ 17% ของผู้ที่ชื่นชอบพรรครีพับลิกัน ขณะที่ตัวเลขดังกล่าวสำหรับ Fox News อยู่ที่ราว 50% ในกลุ่มพรรครีพับลิกัน และ 18% ในกลุ่มพรรคเดโมแครต เป็นต้น
ทั้งนี้ การสำรวจของ Kaiser ทำขึ้นระหว่างวันที่ 14-24 ตุลาคม และใช้กลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 1,519 คน
- ที่มา: สำนักข่าวเอพี