ความผิดปกติของเลือดที่ก่อนนี้เคยคิดว่าเป็นอาการชั่วคราวสำหรับนักเดินทางในอวกาศ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นอาการที่คงอยู่ถาวร การศึกษาฉบับหนึ่งพบว่าการบินในอวกาศอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพกับทุกๆ คนที่เดินทางนอกแรงโน้มถ่วงของโลก
ดร. กาย ทรูเดล (Guy Trudel) จากมหาวิทยาลัย University of Ottawa ซึ่งเป็นหัวหน้าการเขียนรายงานการศึกษานี้ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่ามีความเข้าใจในเรื่องของภาวะโรคโลหิตจางในอวกาศอย่างถ่องแท้ ทั้งยังเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเพียงอาการจากการปรับตัวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า การเดินทางในอวกาศมีผลอย่างยิ่งต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
ภาวะโลหิตจางเป็นภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดแดงมีความบกพร่อง ซึ่งทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเป็นไปได้ยากขึ้น การศึกษาระบุว่า โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะทำลายและสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ขึ้นแทนที่ 2 ล้านเซลล์ต่อหนึ่งวินาที
แต่คณะวิจัยของ ดร. ทรูเดล พบว่าร่างกายของนักบินอวกาศทำลายเม็ดเลือดแดง 3 ล้านเซลล์ทุกๆ หนึ่งวินาทีในช่วงเวลาหกเดือนที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ และการเดินทางไปยังดาวอังคารอาจใช้เวลานานกว่านั้นมาก ซึ่งทำให้เกิดคำถามมากมายตามมา
ดร. ทรูเดล กล่าวเพิ่มเติมว่า นักวิทยาศาสตร์ยังต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมในแง่ของกลไก มาตรการรับมือ และการวางแผนภารกิจ ดังนั้นจึงอาจจำเป็นต้องมีเลือดหรือเลือดเทียมสำหรับการเดินทางไปยังดาวอังคาร และหากยังมีการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็อาจจำเป็นต้องมีการให้อาหารเสริมธาตุเหล็กแก่นักบินอวกาศ หากผู้ที่อยู่ในอวกาศไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ได้อย่างเพียงพอ
เขากล่าวต่อไปอีกว่า แม้ว่าภาวะไร้น้ำหนักในอวกาศจะช่วยลดปัญหาในการที่มีเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยก็ตาม แต่เมื่อกลับสู่พื้นโลก หรือลงบนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ แล้ว ภาวะโลหิตจางอาจส่งผลต่อพลังงาน ความทนทาน และความแข็งแกร่งของมนุษย์ได้
องค์การอวกาศของแคนาดาให้ทุนสนับสนุนการวิจัยที่มุ่งศึกษานักบินอวกาศ 14 คน และแม้ว่าจะไม่ได้ทำการศึกษาในหมู่นักท่องเที่ยวในอวกาศ แต่สภาวะไร้น้ำหนักก็น่าจะทำให้คนเหล่านั้นเกิดภาวะโลหิตจางในอวกาศด้วยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวสภาพอากาศเลวร้ายบนโลกของเรามากขึ้น โดยองค์การอวกาศนาซ่า และองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ โนอา ได้เผยแพร่รายงานที่ระบุว่าปี 2021 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ในประวัติศาสตร์ และเป็นปีที่ร้อนที่สุดในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นนี้หมายถึงโอกาสการจะมีเหตุการณ์สภาพอากาศแบบสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน และน้ำท่วมมากขึ้น รายงานระบุว่าขณะนี้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นมากกว่าหนึ่งองศาเซลเซียส (1.1) และแม้ว่าอาจยังเร็วเกินไปที่จะแน่ใจได้ แต่ข้อมูลดังกล่าวก็ได้บ่งชี้ถึงการเร่งความเร็วของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะแย่ไปกว่าเดิมมากหากอุณหภูมิยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา