รายงานการวิเคราะห์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า อัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในสหรัฐฯ ลดลงเกือบหนึ่งในสามในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการตรวจพบโรคมะเร็งตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น การบำบัดรักษาที่ดีขึ้น และการสูบบุหรี่น้อยลง
สมาคม American Cancer Society กล่าวในรายงานประจำปีว่า อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั้งในผู้ชายและผู้หญิงลดลง 32% จากจุดสูงสุดในปี 1991 ถึงปี 2019
อัตราการการลดลงดังกล่าวนี้แสดงถึงจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดประมาณ 3.5 ล้านคน
ทั้งนี้ ความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้คนสูบบุหรี่น้อยลง ซึ่งส่งผลให้อัตราการป่วยโรคมะเร็งปอดและมะเร็งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ลดลง
รายงานระบุด้วยว่า มะเร็งปอดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่ามะเร็งชนิดอื่น ๆ
รายงานของสมาคมโรคมะเร็งระบุว่า อัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่ลดลงอย่างรวดเร็วนั้น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการป้องกัน การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัยเบื้องต้น การบำบัดรักษา และศักยภาพโดยรวมในการเข้าใกล้โลกที่ปราศจากมะเร็ง และว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอดในขณะที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งช่วยให้คนเหล่านั้นมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
ในปี 2004 มีผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอดที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากผ่านไปสามปีเพียง 21% แต่ในปี 2018 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 31%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิวัฒนาการของการบำบัดรักษาและการตรวจคัดกรองตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ แต่ความเหลื่อมล้ำของการเป็นโรคมะเร็งก็ยังคงมีอยู่
สมาคมโรคมะเร็งรายงานว่า อัตราการรอดชีวิตจากโรคมะเร็งแทบทุกประเภทในหมู่คนผิวดำนั้นต่ำกว่าคนผิวขาว โดยผู้หญิงผิวดำมีโอกาสเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงผิวขาวถึง 41% แม้ว่าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมน้อยกว่าหญิงผิวขาว 4% ก็ตาม
ส่วนชนพื้นเมืองอเมริกันอินเดียนและอะแลสกามีอัตราการป่วยเป็นโรคมะเร็งตับสูงที่สุดในบรรดากลุ่มเชื้อชาติ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าคนผิวขาวถึงสองเท่า
ทางสมาคมโรคมะเร็งได้พิจารณาว่าช่องว่างของเรื่องดังกล่าวเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องฐานะ การศึกษา และมาตรฐานการครองชีพโดยรวม อันเป็นผลมาจากการเหยียดเชื้อชาติและการเลือกปฏิบัติที่มีมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้ว การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเข้าถึงบริการด้านมะเร็ง ซึ่งรวมถึงการป้องกัน การตรวจหา และการรักษา มีอัตราลดลงอย่างมาก ซึ่งรายงานมีคำเตือนว่า การได้รับการรักษาที่ล่าช้าเหล่านี้อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำในเรื่องนี้แย่ลงไปอีก เนื่องจากมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้นกับชุมชนคนผิวสีในช่วงของการระบาดใหญ่
ทั้งนี้ โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดอันดับสองในสหรัฐฯ รองจากโรคหัวใจ
ในปี 2022 สมาคมโรคมะเร็งคาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 1.9 ล้านรายและมีผู้เสียชีวิตเกือบ 610,000 รายหรือประมาณ 1,670 รายต่อวัน
ข้อมูลขององค์กรยังระบุด้วยว่า 42% ของการป่วยเป็นโรคมะเร็งที่คาดการณ์ไว้นั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะอาจเกิดจากการสูบบุหรี่ น้ำหนักตัวที่มากเกินไป การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โภชนาการที่ไม่ดี และการไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้ซึ่งสูญเสียลูกชายของเขาไปด้วยโรคมะเร็งสมองในปี 2015 ต้องการให้การต่อสู้กับโรคร้ายนี้เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ในการเป็นประธานาธิบดีของเขา แต่จนถึงขณะนี้ ความพยายามดังกล่าวยังถูกบดบังด้วยความพยายามในต่อสู้กับการระบาดใหญ่ของโควิด-19