ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนนับตั้งแต่เปิดศักราชปี ค.ศ. 2021 มา กลุ่มบริษัท “เช็คเปล่า” หรือ SPAC (Special-purpose Acquisition Company) ของสหรัฐฯ ทำสถิติเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO ผ่านตลาดหลักทรัพย์ รวมกันสูงกว่ามูลค่าการระดมทุนของบริษัทประเภทเดียวกันนี้ทำไว้ในปีที่แล้ว เรียบร้อยแล้ว ตามรายงานของสำนักข่าว รอยเตอร์ส
ข้อมูลโดย IPOScoop data ที่ติดตามเก็บข้อมูลของบริษัทประเภทดังกล่าว ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีมา บริษัท “เช็คเปล่า” ในสหรัฐฯ สามารถระดมทุนผ่านการทำ IPO ไปแล้วกว่า 83,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติของปีที่ผ่านมา ทั้งยังสูงกว่า การทำ IPO ของบริษัทอื่นๆ ที่เพิ่งจดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา ที่ 29,500 ล้านดอลลาร์อย่างมากด้วย
รายงานระบุว่า สถิติล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงระดับความนิยมในธุรกิจ “เช็คเปล่า” ที่ดำเนินธุรกิจคล้ายๆ กับ บริษัท shell company (เชลล์ คอมพานี) หรือ บริษัทที่เป็นแค่เปลือก หรือโครง ไม่มีสินทรัพย์หรือหน่วยปฏิบัติงานของตัวเองอย่างชัดเจน โดย บริษัทประเภท SPAC จะระดมเงินจากนักลงทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก่อนที่จะออกไปหาซื้อ หรือควบรวมกิจการกับบริษัทเอกชน และทำให้บริษัทเอกชนนั้น ๆ กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปโดยปริยาย
คาร์ลอส อัลวาเรซ จาก UBS Group กล่าวว่า การทำยอด IPO ได้สูงถึงขนาดที่ว่า ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนนั้น ถือเป็น “ปรากฏการณ์” และ ณ เวลานี้ ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า ความร้อนแรงของบริษัท “เช็คเปล่า” จะลดลงในอนาคตอันใกล้นี้เลย
รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่า มูลค่าการควบรวมกิจการของ บริษัทประเภท SPAC และบริษัทเอกชนรายเล็กๆ อื่นในช่วงไม่ถึง 3 เดือนของปีนี้ ยังสูงกว่า มูลค่าการควบรวมกิจการตลอดทั้งปี ค.ศ. 2020 ไปแล้วด้วย
รอยเตอร์ส ยังระบุว่า ปัจจุบัน มีบริษัทประเภท SPAC ราว 408 แห่งที่มีเงินสดอยู่ในกระเป๋ารวมประมาณ 131,100 ล้านดอลลาร์ ที่กำลังมองหาบริษัทที่จะไปควบรวมด้วยอยู่
ทั้งนี้ บริษัท “เช็คเปล่า” กลายมาเป็นเป้าหมายใหม่ของนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งบรรดากองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เพื่อหวังเกาะกระแสนักลงทุนชั้นนำทั้งหลายที่เปิดผู้ร่วมลงทุนเปิดตัวบริษัทประเภทนี้ เช่น มหาเศรษฐี บิลล์ แอคแมน นักเทนนิสชื่อดัง เซเรนา วิลเลียมส์ และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พอล ไรอัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้สันทันกรณีเตือนว่า การลงทุนในบริษัทประเภทนี้ยังคงมีความเสี่ยงมากอยู่ เพราะมีกรณีที่ราคาหุ้นของบริษัทบางแห่งดิ่งหนัก หลังทำการควบรวมกิจการไปแล้ว