สถานการณ์การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับนานาประเทศ แม้แต่ในอาเซียนเอง ตึงเครียดขึ้นไม่น้อย แต่สิงคโปร์อาจกำลังก้าวขึ้นมาเป็นเพื่อนสนิทรายใหม่ของจีนในเวลานี้
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จีนเริ่มแตกคอกับฟิลิปปินส์จากกรณีที่มีการกล่าวหาว่า รัฐบาลกรุงปักกิ่งบริจาคอุปกรณ์ทดสอบการติดเชื้อโควิด-19 ที่ใช้งานไม่ได้จริงให้ ต่อมา ในเดือนเมษายน หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในจีน รายงานข่าวว่า เวียดนามทำให้จีนต้องขายหน้าด้วยการระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่
และไม่นานจากนั้น มาเลเซียทำการประท้วงเรือจีนที่ปรากฏตัวในน่านน้ำทะเลจีนใต้ซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์กับหลายประเทศอยู่ ซึ่งมีบางฝ่ายมองว่า เป็นความตั้งใจของจีนที่จะดำเนินการดังกล่าวในช่วงที่โลกกำลังวุ่นวายเกี่ยวกับการระบาดใหญ่ของไวรัสสายพันธุ์ใหม่อยู่
แต่ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนซึ่งเป็นมิตรกับจีนมาก่อนกำลังมีท่าทีที่ตรงกันข้ามกับอดีตอยู่ สิงคโปร์กลับค่อยๆ ฉายแววว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นเพื่อนที่ดีรายใหม่ของรัฐบาลกรุงปักกิ่งแล้ว โดยเฉพาะหลังจากรัฐบาลสิงคโปร์บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์และอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ให้ช่วยจีนรับมือกับไวรัสไปก่อนหน้า ทั้งยังสัญญาว่าจะร่วมโครงการวิจัยพัฒนาวัคซีนด้วยกัน และเพิ่งวมฉลอง 30 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไปเมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนั้น ประธานาธิบดี ฮาลิมาห์ ยาคอบ ของสิงคโปร์ ยังระบุในจดหมายที่ส่งถึงประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อเริ่มเกิดภาวะระบาดใหญ่ใหม่ๆ ว่า “สิงคโปร์จะยื่นหยัดเคียงข้างจีน” และยังกล่าวด้วยว่า มาตรการที่รวดเร็ว เด็ดขาด และครอบคลุมทั่วถึง ของปธน. สี จิ้นผิง จะช่วยให้จีนเอาชนะโควิด-19 ได้
โซฟี บัวซ์โซ ดู โรเช ซึ่งเป็นนักวิจัยอาวุโสของศูนย์ศึกษาเอเชีย แห่ง French Institute of International Relations ณ กรุงปารีส ให้ความเห็นว่า การที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพึ่งพาจีนในหลายๆ ด้าน ทำให้ผู้นำทั้งหลายไม่ค่อยกล้าจะออกมาวิจารณ์จีนในเรื่องต่างๆ รวมทั้งประเด็นที่มาของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ด้วย
และถึงแม้จีนอาจจะเป็นต้นตอของภัยคุกคามด้านสาธารณสุขสำหรับอาเซียน เพราะรับมือการระบาดในช่วงต้นไม่ดีพอ บัวซ์โซ ดู โรเช ระบุว่า ไม่มีประเทศใดในภูมิภาคนี้กล้าออกมาต่อว่าจีนซึ่งๆ หน้าแม้แต่รายเดียว ขณะที่ผู้นำบางรายยังออกมาพูดปกป้องหรือเยินยอจีนด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน บริษัทวิจัย Vriens & Partners มองว่า การที่สิงคโปร์ทำการบริจาคมากมายให้จีน ถือว่าเป็นการดำเนินแผนการทูตผ่านนโยบายเศรษฐกิจเพื่อเรียกคะแนนนิยมอย่างชัดเจน ก่อนที่นายกรัฐมนตรี ลี เสียนลุง จะออกมาให้ความเห็นว่า สิ่งสำคัญในเวลานี้ควรเป็นการหาวิธีแก้ไขวิกฤติร่วมกัน มากกว่าจะเป็นการที่สหรัฐฯ จะมาโทษว่าจีนเป็นต้นตอของปัญหา และยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น เมื่อปลายเดือนมีนาคมว่า เขาไม่เชื่อว่า จะมีใครพูดได้เต็มปากว่า ปัญหาทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าหากจีนดำเนินมาตรการๆ ได้อย่างถูกต้อง เพราะสุดท้ายแล้วการระบาดได้แพร่และขยายไปหลายประเทศอยู่ดี
ทั้งนี้ จีนคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ ด้วยมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศที่ 137,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ตามข้อมูล ณ ปี 2019 ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นคนสิงคโปร์ว่าชาติใดมีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจมากที่สุด พบว่า เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ตอบว่า จีน ตามมาด้วยสหรัฐฯ และอาเซียน
และเมื่อถามถึงทิศทางต่อไปในอนาคต 57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า อิทธิพลของจีนต่อสิงค์โปรมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ