ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำตัดสินในวันอังคาร ยืนกรานตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ห้ามพลเมืองจาก 7 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการใช้นโยบายกีดกันพลเมืองจากประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ไม่ให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ
คณะตุลาการศาลสูงสหรัฐฯ หรือ Supreme Court ลงมติด้วยคะแนน 5-4 ตัดสินว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจตามกฎหมายในการจำกัดการเดินทางของพลเมืองจากประเทศอื่นมายังสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยกขึ้นมาประกอบการเสนอนโยบายดังกล่าว
หัวหน้าคณะตุลาการศาลสูงสหรัฐฯ ผู้พิพากษา จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้เขียนประกาศคำตัดสินที่ว่านี้ และยังได้ปฏิเสธคำร้องของรัฐฮาวาย รวมทั้งของสมาคมชาวมุสลิมในรัฐฮาวาย และประชาชนอีก 3 รัฐ ที่ร้องเรียนว่าคำสั่งฝ่ายบริหารของ ปธน.ทรัมป์ ขัดกับบทบัญญัติที่ 1 ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ที่ระบุไว้ว่าห้ามเลือกปฏิบัติต่อคนต่างศาสนา
หลังคำตัดสินของศาลสูงได้รับการเปิดเผยออกมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้จัดประชุมแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวในช่วงสายวันอังคาร แสดงความยินดีต่อคำตัดสินของศาลสูงในครั้งนี้
ปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า คำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ถือเป็นชัยชนะและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของคนอเมริกันและรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ และว่า อเมริกาจำเป็นต้องเข้มแข็งและมั่นคงปลอดภัย และต้องมีการตรวจสอบคนที่จะเดินทางเข้าประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อทราบให้ได้ว่าพวกเขามาจากไหน
ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ เมื่อ 2 ปีก่อน ปธน.ทรัมป์ ได้รับปากบรรดาผู้สนับสนุนตนว่าจะใช้มาตรการห้ามพลเมืองจากประเทศมุสลิมต่างๆ เดินทางเข้าสหรัฐฯ และที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ได้ปรับแก้คำสั่งฝ่ายบริหารนี้หลายครั้ง จนเหลือ 7 ประเทศที่อยู่รายชื่อประเทศที่พลเมืองจะถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ
โดย 7 ประเทศนั้น ได้แก่ ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม 5 ประเทศ คือ อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซีเรีย และเยเมน รวมกับอีกสองประเทศ คือ เวเนซุเอล่า และเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางสถิติชี้ว่า พลเมืองจาก 7 ประเทศดังกล่าว มิได้อยู่ในข่ายสร้างภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ แต่อย่างใด
ผู้พิพากษา โซเนีย โซโตมายอร์ (Sonia Sotomayor) หนึ่งในคณะตุลาการศาลสูงที่ลงมติไม่ยอมรับคำสั่งของ ปธน.ทรัมป์ ระบุว่า คำตัดสินสุดท้ายของศาลสูงนั้นกำลังสร้างปัญหา และเทียบได้กับคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 1944 ที่สนับสนุนให้ควบคุมตัวชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นไว้ที่ค่ายกักกันของกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ทางด้านนายโอมาร์ จาดะวัต (Omar Jadwat) ทนายความของ American Civil Liberties Union กล่าวว่า คำตัดสินของศาลสูงครั้งนี้เป็นความล้มเหลวอย่างยิ่ง และถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนต่างศาสนาซึ่งขัดกับอุดมการณ์ที่แท้จริงของอเมริกา และยังเป็นการสร้างอันตรายต่อชาวมุสลิมทั้งในอเมริกาและในต่างประเทศ ตราบเท่าที่คำสั่งนี้ยังมีผลบังคับใช้
ขณะที่ทนายความและนักรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนหลายคน เชื่อว่าจะมีคำสั่งห้ามพลเมืองประเทศอื่นเข้าสหรัฐฯ ตามมาอีกหลายฉบับ หลังคำตัดสินของศาลสูงในครั้งนี้
(ทรงพจน์ สุภาผล รายงานจากห้องข่าววีโอเอ)