กองทัพรัสเซียเดินหน้าโจมตีระบบขนส่งทางรางและคลังน้ำมันของยูเครน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่อยู่ห่างจากแนวรบทางภาคตะวันออกของประเทศที่มีการสู้รบกันอย่างดุเดือดในช่วงนี้อยู่ ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี
รายงานข่าวระบุว่า กองกำลังของรัสเซียทำการยิงขีปนาวุธและส่งเครื่องบินรบขึ้นโจมตีบริเวณที่อยู่ไกลจากแนวการรบในวันจันทร์ โดย โอเลกซานเดอร์ คามีชิน ผู้ว่าการรถไฟยูเครนเปิดเผยว่า การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้สถานีรถไฟจำนวน 5 แห่งในภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศได้รับความเสียหาย ทั้งยังคร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟอย่างน้อย 1 ราย
เจ้าหน้าที่ทางการยูเครนระบุว่า การโจมตีของรัสเซียในแคว้นวินนิตเซีย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ ยังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยอีก 5 รายด้วย
ขณะเดียวกัน พลตรี อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย เปิดเผยว่า รัสเซียยังได้ทำลายโรงกลั่นน้ำมัน 1 แห่ง และคลังน้ำมันอีกจำนวนหนึ่งในเมืองเครเมนชุก ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของยูเครนเช่นกัน รวมทั้ง ทำการโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในยูเครนอีก 56 แห่งในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา
ฟิลิป บรีดเลิฟ อดีตนายทหารอาวุโสของสหรัฐฯ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชการระดับสูงขององค์การนาโต้ ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2013 และ 2016 ให้ความเห็นว่า การโจมตีชุดล่าสุดของรัสเซียที่บริเวณคลังน้ำมันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่พุ่งเป้าไปยังการกำจัดทรัพยากรด้านการทำสงครามของยูเครน ขณะที่ การโจมตีสถานีรถไฟนั้น น่าจะเป็นกลยุทธ์ทางสงครามแนวใหม่มากกว่า
เมื่อรัสเซียเริ่มทำการรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์นั้น เป้าหมายของมอสโกดูชัดเจนว่า เพื่อยึดครองกรุงเคียฟ แต่ยูเครนที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลชาติตะวันตกกลับสามารถต่อต้านการโจมตีของกองกำลังรัสเซียและผลักดันผู้รุกรานจนล่าถอยได้สำเร็จ
ในเวลานี้ มอสโกประกาศว่า เป้าหมายของตนคือพื้นที่แคว้นดอนบาส ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ตั้งของภาคอุตสาหกรรมทางด้านตะวันออกของยูเครน และคนส่วนใหญ่ใช้ภาษารัสเซียในการสื่อสาร
และในขณะที่การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายยังเดินหน้าอยู่นี้ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศในวันจันทร์ว่า “รัสเซียกำลังพ่ายศึก และยูเครนกำลังกุมชัยชนะอยู่”
คำประกาศของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นี้มีออกมาหลังจาก รมต.บลิงเคน และรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน เดินทางถึงกรุงเคียฟในวันอาทิตย์ เพื่อพบกับประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี
รมต.บลิงเคน เปิดเผยว่า รัฐบาลกรุงวอชิงตันได้อนุมัติแผนการขายกระสุน ซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนที่สหรัฐฯ ผลิต และเป็นกระสุนที่ใช้ได้เฉพาะกับอาวุธจากยุคสมัยอดีตสหภาพโซเวียต ที่มีมูลค่ารวม 165 ล้านดอลลาร์ ให้กับยูเครนแล้ว โดยสหรัฐฯ มีแผนจะตั้งงบกว่า 300 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนยูเครนในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์อื่นๆ เพิ่มด้วย
นอกจากนั้น รมต.ออสติน ยังกล่าวเสริมด้วยว่า ขณะที่ สหรัฐฯ ต้องการที่จะเห็นยูเครนยืนหยัดในฐานะประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยและมีอธิปไตยเป็นของตนเอง กรุงวอชิงตันยังต้องการ “เห็นรัสเซียอ่อนกำลังจนถึงจุดที่ไม่สามารถทำการใดๆ เช่น การรุกรานยูเครน ได้อีกต่อไป”
มีรายงานข่าวด้วยว่า ในวันจันทร์ เกิดเหตุระเบิดหลายครั้งในพื้นที่แคว้นทรานส์นิสเตรีย ที่แยกตัวออกมาจากมอลโดวา ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ ขณะที่ ยังไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว
พื้นที่แคว้นทรานส์นิสเตรียซึ่งตั้งอยู่ตามแนวชายแดนที่ติดกับยูเครน เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนราว 470,000 คน โดยรัสเซียได้ส่งกำลังพลราว 1,500 นายไปประจำอยู่ที่บริเวณนี้
กระทรวงต่างประเทศมอลโดวาระบุว่า จุดประสงค์ของการโจมตีในครั้งนี้คือการสร้างเงื่อนไขเพื่อยกระดับภาวะตึงเครียดให้กับการรักษาความมั่นคงในแคว้นทรานส์นิสเตรีย ซึ่งสอดคล้องกับคำเตือนของสหรัฐฯ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ว่า รัสเซียอาจทำการก่อเหตุกล่าวโทษฝ่ายตรงข้ามเพื่อเป็นเหตุผลในการโจมตีและรุกรานประเทศอื่นๆ ต่อไป
- ที่มา: เอพี