หลังจากที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียลดต่ำลงอย่างมากในช่วงแรกที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกยูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ เวลานี้ค่าเงินรูเบิลได้เพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่น ๆ ท่ามกลางมาตรการลงโทษที่ชาติตะวันตกนำมาใช้กับรัสเซีย ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะความพยายามแทรกแซงกลไกราคาของรัฐบาลกรุงมอสโก และการที่หลายประเทศยังต้องชำระค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติให้แก่รัสเซีย
การที่ค่าเงินรูเบิลเพิ่มขึ้นจนเกือบเท่ากับระดับก่อนเกิดสงครามในยูเครน อาจช่วยให้รัฐบาลรัสเซียสามารถกล่าวอ้างชัยชนะทางเศรษฐกิจเหนือชาติตะวันตกได้ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่าผลกระทบจากการฟื้นตัวของรูเบิลนั้นอาจจำกัดอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มซึ่งถูกตัดออกจากระบบเศรษฐกิจโลก ในขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของรัสเซียยังคงต้องแบกรับความเสียหายจากมาตรการลงโทษของชาติตะวันตกต่อไป
หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่รัสเซียจะเริ่มบุกรุกยูเครน ค่าเงินรูเบิลอยู่ที่ระดับ 76 รูเบิลต่อ 1 ดอลลาร์ แต่หลังจากที่หลายประเทศประกาศใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค่าเงินรูเบิลร่วงลงไปเกือบ 50% อยู่ที่ระดับ 143 รูเบิลต่อ 1 ดอลลาร์ ก่อนที่จะกระโดดกลับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 84 รูเบิลต่อ 1 ดอลลาร์ในปัจจุบัน
จิอาน มาเรีย มิเลซี-แฟร์เรตติ อดีตรองผอ.ฝ่ายวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า ธนาคารกลางรัสเซียพยายามใช้หลายวิธีในการดึงค่าเงินรูเบิลให้สูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในประเทศขึ้นอีกมากกว่าสองเท่าเป็น 20% การควบคุมการไหลของเงินทุนด้วยการจำกัดการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ และการจำกัดการส่งออกสินค้าของรัสเซียด้วย
ปัจจุบัน บริษัทรัสเซียที่ต้องการส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศจำเป็นต้องนำเงินตราต่างประเทศที่ได้จากการขายสินค้านั้นไปเปลี่ยนเป็นเงินรูเบิลกับธนาคารกลางของรัสเซีย ซึ่งทำให้ความต้องการเงินรูเบิลสูงขึ้น และดันราคารูเบิลให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังทำให้ธนาคารกลางรัสเซียมีเงินสดสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม เซียมบา แห่งสถาบัน Center for a New American Security กล่าวกับวีโอเอว่า ค่าเงินรูเบิลที่เพิ่มขึ้นนี้มิได้สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของรัสเซียในปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาปากท้องที่ประชาชนรัสเซียทั่วไปต้องเผชิญอยู่เนื่องจากมาตรการลงโทษต่าง ๆ
นักวิเคราะห์ผู้นี้ชี้ว่า มาตรการลงโทษต่อรัสเซียกำลังทำให้เศรษฐกิจรัสเซียเดินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบปิดซึ่งหมายขนาดเศรษฐกิจที่เล็กลง ชาวรัสเซียไม่สามารถซื้อสินค้าจากอเมริกาและยุโรปได้เนื่องจากธนาคารขนาดใหญ่ของรัสเซียถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก ขณะที่บริษัทในต่างประเทศก็ไม่ต้องการทำธุรกรรมกับรัสเซีย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจรัสเซียในระยะยาว
