ในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก อาทิ ไฟป่าที่แผดเผาทั้งป่าและบ้านเรือน บนเกาะ ลา พลามา (La Plama) ของสเปน ที่ทางการรายงานว่า มีประชาชนจำนวนมากกว่า 4,000 คนที่ต้องถูกอพยพ และ คลื่นความร้อนในภาคพื้นยุโรป
วารสาร Nature ประมาณการล่าสุดว่า เมื่อฤดูร้อนที่แล้ว มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากถึง 61,000 คน จากสาเหตุที่เชื่อว่า เกี่ยวกับภาวะอากาศร้อนจัดในทวีปยุโรป
ส่วนที่กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูมรสุม เกิดฝนตกหนักจนทำให้ถนนหลายสายต้องจมอยู่ใต้น้ำ โดยมีปริมาณน้ำฝนมากผิดปกติ กล่าวคือ มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงเวลานี้ของปีถึงเกือบ 10 เท่า
ขณะเดียวกัน ในฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ฝนที่ตกหนักท่วมถนนหนทางจนทำให้ต้องอพยพผู้คนและมีคำสั่งห้ามนำเครื่องบินขึ้นบิน โดยพายุได้พัดถล่มบางส่วนของภูมิภาคนิวอิงแลนด์ รวมทั้งรัฐนิวยอร์กและคอนเนคทิคัต และบางพื้นที่รายงานปริมาณน้ำฝนที่สูงกว่า 10 เซนติเมตรเลยทีเดียว
และล่าสุด มีการดำดิ่งลงไปสำรวจใต้น้ำนอกชายฝั่งของรัฐฟลอริดา หลังนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า อุณหภูมิที่สูงเกินไปกำลังก่อให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการังและระบบนิเวศทางทะเลทั้งหมดอยู่
ดร.ไมเคิล สตูดีแวน จากสถาบันวิจัย Cooperative Institute for Marine and Atmospheric Studies (CIMAS) มหาวิทยาลัยแห่งไมอามี เผยว่า “นอกจากบนบกจะมีอุณหภูมิที่สูงมากแล้ว อุณหภูมิในน้ำทะเลก็ยังสูงมากอีกด้วย ดังนั้น จุดตรวจสอบผลกระทบระยะยาวนอกชายฝั่งไมอามีบางแห่งจึงเริ่มแสดงสัญญาณในช่วงเริ่มต้นของปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวแล้ว โดยปะการังเหล่านั้นเริ่มมีสีที่ซีดลง เกิดการสูญเสียปะการังบางสว่น รวมทั้งเม็ดสีของสาหร่าย ซึ่งคาดว่า ปะการังในบริเวณนี้จะจะไร้สีสันในที่สุด”
สถาบันสมุทรศาสตร์วิทยาเเละชั้นบรรยากาศโลกเเห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NOAA ให้คำจัดความของการฟอกขาวของปะการังว่า เป็นภาวะการสูญเสียสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังอันเนื่องมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำ
ในปี 2005 สถาบัน NOAA รายงานว่า สหรัฐฯ สูญเสียแนวปะการังในแถบทะเลแคริบเบียนราวครึ่งหนึ่งในปีเดียว อันเนื่องมาจากการฟอกขาวของปะการัง
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ NOAA รายงานว่า อุณหภูมิของน้ำในรัฐฟลอริดานั้นอยู่ที่ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิปกติที่อยู่ระหว่าง 22 ถึง 31 องศาเซลเซียสไม่น้อย
แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานในโครงการฟื้นฟูแนวปะการังกล่าวว่า พวกเขาเห็นสัญญาณแห่งความหวังในสถานที่ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น อย่างเช่น ตามแนวทางน้ำที่เรือสำราญขนาดใหญ่เข้าจอดบริเวณท่าเรือ
ดร.สตูดีแวน จากสถาบันวิจัย CIMAS อธิบายว่า ในพื้นที่น้ำใกล้ ๆ ท่าเรือซึ่งมักมีลักษณะขุ่นอย่างมากและน้ำก็ค่อนข้างอุ่นตลอดเวลา กลับมีแนวปะการังที่มีสภาพสมบูรณ์ซ่อนอยู่ที่หลังแนวหินทิ้งและหินกองก้อนโต และปะการังเหล่านี้เป็นปะการังที่มีสุขภาพดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นจากทั่วชายฝั่งไมอามี โดยระบุว่า “พวกมีขนาดใหญ่มากอย่างไม่น่าเชื่อ และดูเหมือนว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงดีด้วย”
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การค้นพบนี้นำมาซึ่งเทคนิคใหม่ในการเพาะพันธุ์และย้ายการเพาะปะการังที่มีสุขภาพดีซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญเพื่อปกป้องเหล่าปะการังก่อนที่จะปล่อยกลับคืนสู่มหาสมุทรต่อไป
ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวด้วยว่า แนวปะการังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หลายล้านชนิดนั้นช่วยส่งเสริมระบบนิเวศอาหารทางทะเลที่ดี และยังช่วยปกป้องแนวชายฝั่ง ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นสำหรับรัฐฟลอริดาได้ด้วย
- ที่มา: วีโอเอ