แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ จะยังอยู่ในภาวะที่ไม่คลี่คลายลงอย่างชัดเจน สถาบันการศึกษาทั้งหลายเริ่มกลับมาทำการเรียนการสอนในชั้นเรียนกันอีกครั้งแล้ว เปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติที่ต้องเดินทางกลับไปอยู่ที่ประเทศบ้านเกิดทั้งหลายและทำการเรียนผ่านระบบออนไลน์ ได้มาเข้าชั้นเรียนตามปกติกันบ้าง แต่ภาพรวมนั้นยังไม่มีความชัดเจนนัก
การสำรวจครั้งใหม่ระบุว่า นักศึกษาต่างชาติเดินทางกลับเข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ มากขึ้นในปีนี้ แต่การฟื้นตัวนี้ก็ยังไม่สามารถชดเชยจำนวนนักศึกษาที่ลดลงอย่างมากในปีที่แล้วจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ผลของการสำรวจที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์โดยสถาบันการศึกษานานาชาติระบุว่า บรรดาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ มีนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ หลังจากที่อัตราดังกล่าวลดลงไป 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่สถาบันนี้เริ่มเผยแพร่ข้อมูลเรื่องนี้ในปีค.ศ. 1948
การฟื้นตัวดังกล่าวถือว่าดีกว่าที่มหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งคาดการณ์ไว้ในช่วงฤดูร้อนจากการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และยังสะท้อนให้เห็นถึงถึงปัญหาที่มีอยู่เสมอมา เนื่องจากมีการขอวีซ่าที่ยังคั่งค้างอยู่ และนักเรียนบางคนยังไม่อยากไปศึกษาต่อต่างประเทศในช่วงที่มีการระบาดใหญ่
ทั้งนี้ บรรดามหาวิทยาลัยและเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ หวังว่า จำนวนนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นในปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวในระยะยาว และการเดินทางระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นก็อาจช่วยให้เป็นไปได้ว่าจำนวนนักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัยต่างๆ อาจเพิ่มขึ้นจนแตะระดับก่อนที่จะเกิดโรคระบาดได้
แมทธิว ลุสเซนฮอพ รักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า มีการคาดว่า จำนวนนักเรียนต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการระบาดใหญ่ และจำนวนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พวกเขายังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาในสหรัฐฯ และยังคงมุ่งมั่นที่จะไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ด้วย
จากการสำรวจเบื้องต้นของสถานศึกษามากกว่า 800 แห่งในสหรัฐฯ พบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริการายงานว่า มีนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ในขณะที่ 20 เปอร์เซ็นต์มีจำนวนลดลงและอีก 10 เปอร์เซ็นต์ยังคงอยู่ที่ระดับเดิม
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นบางส่วนมาจากนักศึกษาใหม่ที่หวังว่า จะได้มาสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว แต่แผนการดังกล่าวต้องล่าช้าลงเนื่องจากการระบาดใหญ่ โดยมีนักศึกษาต่างชาติใหม่ที่ลงทะเบียนเพิ่มขึ้น 68 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการลดลง 46 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
ในเดือนสิงหาคม สถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ในอินเดียรายงานว่าได้ออกวีซ่าให้กับนักศึกษามากเป็นประวัติการณ์ถึง 55,000 คน แม้ว่าจะเริ่มต้นกระบวนการล่าช้าไป 2 เดือนจากการระบาดของโควิด-19
แอนดี้ บอร์ส ผู้อำนวยการแผนกรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งอิลลินอยส์ (University of Illinois) วิทยาเขต Urbana-Champaign กล่าวว่า จำนวนนักศึกษาต่างชาติกำลังกลับสู่สภาวะปกติ และว่า ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ทางมหาวิทยาลัยได้รับนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 10,000 คน ซึ่งเกือบจะชดเชยจำนวนที่ลดลง 28 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้วได้
นอกจากนี้ สำหรับมหาวิทยาลัยบางแห่งที่มีชื่อเสียงดีในต่างประเทศ ตัวเลขการสมัครเรียนของนักศึกษาต่างชาตินั้นสูงกว่าของปี 2019 ไปแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยแห่งโรเชสเตอร์ (University of Rochester) ในนครนิวยอร์ก ที่มีการลงทะเบียนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเมื่อปี 2019 โดยได้แรงหนุนจากจำนวนนักศึกษาระดับปริญญาโทที่เพิ่มมากขึ้น
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ เปิดทำการเรียนการสอนในชั้นเรียนในฤดูใบไม้ร่วงนี้ แต่นักศึกษาต่างชาติไม่ได้เข้าเรียนในชั้นเรียนทั้งหมด หลังจากที่เปลี่ยนไปใช้การเรียนแบบออนไลน์เมื่อปีที่แล้ว โดยมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งยังคงเปิดสอนออนไลน์ให้แก่นักเรียนในต่างประเทศต่อไป
การสำรวจพบว่าจากจำนวนนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดที่ลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ปีนี้ มีประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ที่เข้าเรียนในชั้นเรียน
ทั้งนี้ นักศึกษาต่างชาติถูกมองว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการ เช่น การช่วยให้มีความผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและมุมมองที่หลากหลาย หลายๆ คนได้ทำงานในสายงานซึ่งเป็นที่ต้องการสูงหลังจบการศึกษา นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยบางแห่งยังต้องพึ่งพานักศึกษาต่างชาติในด้านการเงิน ซึ่งโดยทั่วไปนักศึกษาเหล่านี้จะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในราคาที่สูงกว่าอีกด้วย
แต่แม้ว่ามหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งอาจไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังมีความกังวลว่าการฟื้นตัวนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะในมหาวิทยาลัยบางประเภท เพราะการสำรวจพบว่าเมื่อปีที่แล้ววิทยาลัยชุมชนซึ่งให้การสอนถึงระดับอนุปริญญาประสบปัญหานี้มากกว่ามหาวิทยาลัยที่ต้องเรียน 4 ปีอย่างมาก โดยมีจำนวนลดลง 24 เปอร์เซ็นต์ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ นักวิจัยยังคงวิเคราะห์ข้อมูลของปีปัจจุบัน และมีความกังวลว่า วิทยาลัยชุมชนอาจจะยังคงประสบปัญหานี้ต่อไป
(ที่มา: สำนักข่าว AP)