ท่ามกลางการคาดเดาถึงผลกระทบจากคำประกาศขึ้นภาษีของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อคู่ค้าขนาดใหญ่อย่างจีน นักวิเคราะห์มองถึงความเป็นไปได้ถึงการที่บริษัทต่างๆ มองหาหนทางย้ายฐานผลิตออกจากจีนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระลอกใหม่
เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์ประกาศความพร้อมที่จะเร่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก จีนและแคนาดา ซึ่งเป็น 3 คู่ค้าอันดับต้น ๆ ของประเทศ
ในช่วงการหาเสียงเป็นประธานาธิบดีในปีนี้ ทรัมป์ขู่ว่าจะยกระดับภาษีต่อสินค้าจากจีนให้สูงเป็น 60%
ตั้งเเต่เขาชนะเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งความสนใจไปที่สงครามการค้าที่อาจร้อนขึ้นอีกระหว่างสหรัฐฯและจีน
นักวิเคราะห์มองย้อนไปถึงเมื่อปี 2017 ที่ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยเเรก เมื่อเขาใช้มาตรการภาษีต่อสินค้าเเดนมังกรอย่างเเข็งขัน
ในตอนนั้นบริษัทจำนวนมากย้ายฐานผลิตจากจีนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเลี่ยงการถูกเก็บภาษีระดับสูง หากว่านำสินค้าที่ผลิตจากโรงงานในจีนไปขายโดยตรงที่ตลาดสหรัฐฯ
หากว่า ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จีนถูกเก็บภาษี 60% ตามที่เขากล่าว "การเร่งเครื่องย้ายฐานการผลิตจะมีมากขึ้น" ตามความเห็นของ เจเยนต์ เมนอน นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak Institute
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้สัมภาษณ์กับวีโอเอไทยว่า ประเทศไทยอาจได้รับผลดีมากกว่าผลเสีย จากนโยบายการใช้กำแพงภาษีที่อาจเกิดขึ้นของรัฐบาลสหรัฐฯ
เขากล่าวว่าไทยสามารถเป็น "ตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างสหรัฐฯกับจีน คือถึงแม้เขาใหญ่ทั้งคู่ แต่เค้าตัดกันไม่ขาดหรอกครับ สหรัฐฯกับจีนยังไงเขาก็ต้องค้าขายกัน ทำยังอย่างที่ประเทศไทยจะไปอยู่ตรงกลางเป็นตัวเชื่อมของการค้าขายระหว่างสหรัฐฯ กับจีนให้ได้ คือจีนอยากขายของไปสหรัฐฯ ก็มาลงทุนที่ไทย สหรัฐฯ อยากขายของไปจีนก็มาลงทุนไทย"
อย่างไรก็ตาม เมนอน นักวิจัยจาก สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศอย่างไทย เวียดนามและมาเลเซีย ได้เห็นการย้ายฐานการผลิตของบริษัทส่วนใหญ่จากจีมมายังตลาดของตนเรียบร้อยเเล้ว จึงเหลือโอกาสอย่างจำกัด หากเทียบกับประเทศอย่างกัมพูชาและลาวที่อยู่ใกล้จีน ที่น่าจะดึงเงินทุนจากจีนได้อีก
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอของไทย เปิดเผยว่า สถิติการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากจีนในประเทศไทยเมื่อปีที่เเล้ว มีจำนวนทั้งสิ้น 430 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 30.85 ของจำนวนโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดที่ยื่นขอรับการส่งเสริม และมีมูลค่าการลงทุนรวม 159,387 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.03 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งหมดที่ยื่นขอรับการส่งเสริม
ทั้งนี้มูลค่าการยื่นขอการส่งเสริมการลงทุนจากจีนมายังไทย เคยสูงถึงมูลค่า 261,705 ล้านบาท เมื่อ 5 ปีที่เเล้ว
นักวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงอีกประการหนึ่ง
กล่าวคือ บางประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ในระดับสูง อาจเสี่ยงต่อกำเเพงภาษีของอเมริกาอีกด้วย ตามความเห็นของเดบอราห์ เอล์มส์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายการค้าของ Hinrich Foundation ทั้งตั้งอยู่ในสิงคโปร์
ทรัมป์กล่าวหลายครั้งระหว่างการหาเสียงว่าสหรัฐฯ เสียดุลการค้าให้กับประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากจีนด้วย และเขาส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ประเทศเหล่านี้
ในช่วง 10 ปีตั้งแต่ 2014 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นให้กับไทยทั้งหมด 8 ปี โดยมูลค่าการขาดดุลในปี 2023 อยู่ที่ 40,725 ล้านดอลลาร์ ในปีดังกล่าวสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าให้กับเวียดนาม 104,583 ล้านดอลลาร์ และขาดดุลให้กับมาเลเซีย 26,832 ล้านดอลลาร์
ในบรรดาประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯ มากเป็นอันดับสองรองจากเวียดนามในปีที่เเล้ว อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสถิติสหรัฐฯ Census Bureau
เดบอราห์ เอล์มส์ กล่าวด้วยว่า "ยังคงเป็นคำถามปลายเปิด" ว่าบริษัทต่าง ๆจะย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพิ่มหรือไม่ "มันมีปัจจัยมากมายที่สำคัญ แต่มันก็มีเหตุผลว่าทำไมบริษัทต่าง ๆ ยังคงอยู่ในประเทศจีนอย่างหนาเเน่น นั่นก็เพราะจีนยังคงมีขนาดและความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งยากที่จะหาที่อื่น ๆ มาเทียบได้"
เธอคิดว่าบริษัทบางแห่งอาจเลือกที่จะผลิตสินค้าในจีนต่อไป และยอมรับเเรงกระเเทกจากภาษีที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ หรืออาจมองหาตลาดอื่นเเทน
ฉากทัศน์นี้อาจนำไปสู่การค้าขายกันมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย
แต่ รองศาสตราจารย์ อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าตลาดสินค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจถูกตัดราคาจากการหลั่งไหลของสินค้าจีน
เมนอน กล่าวปิดท้ายว่า "ในระยะสั้น แน่นอนว่า (ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ ถ้ามีการย้านฐานเพิ่มขึ้น ...แต่ท้ายที่สุด ข้อดีเหล่านี้จะซาลงและจะไม่ได้เป็นประโยชน์มากนักต่อไป"
- ที่มา: วีโอเอ