คุณพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์กับวีโอเอ ภาคภาษาไทย ที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันจันทร์ ถึงทิศทางของรัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งเสร็จสิ้น รวมทั้งแคนดิเดตโฆษกรัฐบาล ที่ได้รับการกล่าวถึงบนสื่อในประเทศไทย ซึ่งมีการหยิบยกตัวเต็งทั้งหญิงและชายขึ้นมารับตำแหน่งนี้ โดยบอกว่าคงไม่ใช่งานง่ายสำหรับรัฐบาลและโฆษกรัฐบาลชุดปัจจุบันอย่างแน่นอน
“คือคงไม่ใช่เฉพาะโฆษกรัฐบาล คงเป็นทุกคนในรัฐบาลนะคะที่ต้องเผชิญความท้าทายใหญ่ ก็คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับรัฐบาลนี้ที่มีถึง 19 พรรคประกอบเข้าด้วยกัน การที่จะออกนโยบายที่เป็นรูปธรรมก็คงไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย และฝ่ายค้านเองก็คงจะไม่ได้สามารถหยวนๆให้ เพื่อให้ผ่านนโยบายออกมาได้ หากนโยบายนั้นมันจะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน หรือมีแนวโน้มการทุจริตคอรัปชั่น หรือมีแนวโน้มว่าจะเป็นการใช้ภาษีของประชาชนแบบสุรุ่ยสุร่าย โดยไม่สมเหตุผล เราก็คงปล่อยผ่านไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็คงมีภาระงานหนักที่ต้องรับผิดชอบ...
...โฆษกในฐานะเป็น “กองหน้า” คือคนที่ต้องรับแรงปะทะ ในการตอบโต้ ในการแก้ข่าวต่างๆ ก็คงต้องทำงานหนักหน่อย โดยในฐานะที่ช่อทำหน้าที่โฆษกพรรคมา อาจจะไม่มีประสบการณ์มากมากอะไร ก็แค่ปีเดียว แต่ช่อคิดว่าสุดท้ายแล้วเนี่ย ความจริงคือสิ่งที่ปกป้องเราจากทุกอย่าง ถ้าเราพูดความจริง อยู่บนรากฐานอุดมการณ์ที่ชัดเจนของพรรค ถ้าพรรคมีนโยบาย มีเป้าหมาย มีอุดมการณ์ ที่ชัดเจน โฆษกก็จะไม่ได้ทำงานยากอะไร”
นอกจากการผลักดันนโยบายและสร้างความเข้าใจกับประชาชนแล้ว อีกหนึ่งความท้าทายในสังคมปัจจุบัน คือ การต่อสู้การข่าวปลอมและวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง ซึ่งคุณพรรณิการ์ มองว่า Censorship หรือการปิดกั้นการนำเสนอไม่ใช่คำตอบ
“เราเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นนักการเมือง ก็ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ไม่ว่าจากการกระทำในอดีต ในปัจจุบัน หรือในอนาคต นั่นก็คือสิ่งที่เราต้องอธิบายกับสังคมให้ได้ แต่ว่าพ่อแม่ของเรา เพื่อนของเรา ไม่ควรถูกโจมตีจากสังคม เพราะเขาเป็นพ่อแม่ หรือเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนของเรา เพราะเขามีลูกหรือมีเพื่อนเป็นนักการเมือง ไม่ควรเป็นเหตุผลที่พวกเขาจะถูกโจมตี ...
... ช่อเชื่อว่าวิธีที่จะต่อสู้กับข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน วาทะสร้างความเกลียดชังที่ดีที่สุด ก็คือ การส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันสื่อ มี Media Literacy สูงขึ้น มีความอดทนต่อวาทะเกลียดชัง ไม่เผยแพร่ข้อมูลต่อ และไม่ตอบโต้วาทะเกลียดชังด้วยความเกลียดชัง เพราะนั่นเท่ากับว่าคุณกำลังสร้างความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ตอบโต้ข้อมูลบิดเบือน ข่าวปลอม ก็ต้องตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริง”
และเมื่อถามถึงการแสดงความเห็นของผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์ เธอมองว่าก็มีทั้งความเห็นเชิงบวกที่สร้างกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง ขณะเดียวกันก็มีข้อวิจารณ์เชิง Body Shaming หรือการล้อเลียนรูปร่างอัตลักษณ์ และเธอมองว่าเป็นสิ่งที่นักการเมืองหญิงและนักการเมืองที่มีความหลายหลายทางเพศต้องเผชิญ
“คอมเมนต์ที่ทำให้รู้สึกดีใจและเป็นกำลังใจตลอดเวลา คือ เวลาเราไปปราศรัยหรือไปทำกิจกรรมทางการเมืองของพรรค เดินมาบอกว่า คุณรู้ไหม ผม ฉัน หนู ไม่เคยเลือกพรรคการเมือง ไม่เคยกาให้พรรคไหนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่มาร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคคุณ ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก ไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใหม่ บางคนก็อายุ 40-50 ...
... มันเป็นความรู้สึกว่าคนไทยกลับมาเชื่อมั่นศรัทธาในพรรคการเมือง นักการเมือง อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าถ้าคุณไม่เชื่อมั่นศรัทธาในนักการเมือง พรรคการเมือง ประชาธิปไตยมันไปไม่ได้ เพราะนี่คือระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ถ้าคุณไม่เชื่อถือศรัทธาในนักการเมือง พรรคการเมือง ก็คือคุณไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยมันเป็นทางออกของประเทศนี้ มันทำให้ชุ่มชื่นหัวใจทุกครั้ง เป็นพลังให้เราทำงานต่อไปข้างหน้าได้...
...คอมเมนต์ที่เสียใจที่สุด คือ เวลามีการมาพูดเรื่อง Body Shame แบบคอสั้น หน้าใหญ่อย่างเนี้ย ไม่ใช่เราเสียใจว่าเราโดนว่าว่าไม่สวยนะ ช่อรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เฉพาะนักการเมืองหญิงจะถูกว่าด้วยอะไรแบบนี้ ต่อให้นักการเมืองชาย อ้วน เตี้ย หัวล้านอะไรแค่ไหน คุณจะไม่ว่านักการเมืองชายว่าอ้วน เตี้ย หัวล้าน แต่พอเป็นนักการเมืองหญิงเนี่ย ถ้าสวย ก็จะโดนด่าว่าสวยแต่โง่ แต่ถ้าไม่สวย ก็จะถูก Body Shame อ้วนไป ผอมไป ขาใหญ่ คอสั้น...
...ช่อรู้สึกว่านอกจากจะเป็นการวิจารณ์ที่ไม่นำไปสู่ความสร้างสรรค์ใดๆ ไม่ได้ทำให้ปรับปรุงตัว ทำให้ช่อรู้สึกว่าเรื่องความเท่าเทียมทางเพศเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้อยู่ในประเทศไทย”
สำหรับผู้ที่อยากชมการสัมภาษณ์ คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช ฉบับเต็ม ติดตามได้ผ่านทางเว็บไซต์ voathai.com และเฟสบุ๊ก VOA Thai