รายงาน World Inequality Report ว่าด้วยความไม่เท่าเทียมในโลก พบว่าทรัพย์สินในครัวเรือนของอภิมหาเศรษฐีพันล้านได้เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในขณะที่เศรษฐีร้อยล้านนั้นร่ำรวยมากขึ้นเช่นกัน
รายงานฉบับดังกล่าวซึ่งเผยแพร่ในวันอังคารที่ผ่านมา จัดทำโดยเครือข่ายของนักวิจัยทางสังคม ประเมินว่าในปีนี้ อภิมหาเศรษฐีพันล้าน ถือครองทรัพย์สินในครัวเรือนโดยรวมแล้วคิดเป็นมูลค่า 3.5 เปอร์เซ็นต์ของโลก เพิ่มขึ้นจาก 2 เปอร์เซ็นต์เมื่อตอนเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 เมื่อปีก่อน ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
รายงาน World Inequality Report ระบุว่าวิกฤติโควิด-19 มีแต่จะทำให้ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนจนและคนรวยเห็นชัดยิ่งขึ้น และเห็นได้ว่าประเทศร่ำรวยได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อช่วยค้ำจุนประเทศของตนเพื่อไม่ให้ความยากจนเพิ่มมากขึ้นเหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ
รายงานดังกล่าวอาศัยการวิจัยเฉพาะทางและฐานข้อมูลสาธารณะ โดยมี อภิจิต บาเนร์เจีย และเอสเธอร์ ดัฟโฟล ซึ่งเป็น 2 ใน 3 นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลจากงานวิจัยเรื่องความยากจนเป็นผู้เขียนบทนำ
พวกเขากล่าวว่าได้เกิด “การกระจุกตัวขั้นรุนแรงของอำนาจทางเศรษฐกิจในมือของอภิมหาเศรษฐี หรือ กลุ่มซูเปอร์ริช ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคม”
ปกติแล้ว นิตยสารฟอร์บส์จะตีพิมพ์รายชื่อผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของโลกทุกปี โดยในปีนี้มีอภิมหาเศรษฐีมากเป็นประวัติศาสตร์จำนวน 2,755 คน โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกัน 13.1 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีก่อน
รายงาน World Inequality Report พบว่า มีคนจำนวน 520,000 คนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดที่คิดเป็น 0.01 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โดยมูลค่าทรัพย์สินของพวกเขาคิดเป็น 11 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าทรัพย์สินทั่วโลก เพิ่มจาก 10 เปอร์เซ็นต์ในปีก่อน
กลุ่มอภิมหาเศรษฐีที่อยู่ในกลุ่ม 0.01 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกนี้ มีทรัพย์สินในครัวเรือนอย่างน้อย 19 ล้านดอลลาร์
นักวิจัยยังชี้ว่า อภิมหาเศรษฐีบางคนร่ำรวยขึ้นหลังจากที่กิจกรรมเศรษฐกิจของโลกย้ายเข้าสู่ระบบออนไลน์ในช่วงล็อคดาวน์ ในขณะที่บางคนร่ำรวยเพราะทรัพย์สินที่มีอยู่ของพวกเขามีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากการที่มีเงินทุนไหลเข้าตลาดการเงินในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังเกิดการระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังพบว่าความยากจนเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศที่การช่วยเหลือจากรัฐบาลมีน้อยกว่า ในขณะที่การช่วยเหลือของรัฐบาลในสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปสามารถช่วยเหลือหรือลดผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยในประเทศได้