วัฒนธรรมการนำเค้กมาแบ่งปันให้เพื่อนร่วมงาน เป็นการกระชับความสัมพันธ์ในที่ทำงานที่ได้รับความนิยมรูปแบบหนึ่ง แต่การผูกมิตรผ่านขนมแสนอร่อยนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
อังกฤษเป็นอีกประเทศที่เผชิญปัญหาสุขภาพดังกล่าว โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ซูซาน เจ็บบ์ ประธานของหน่วยงานมาตรฐานอาหารของอังกฤษ ออกมาเตือนถึงวัฒนธรรมการนำเค้กมาที่ทำงานว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของเพื่อนร่วมงาน โดยเธอเปรียบเทียบว่าคล้ายกับการสูบบุหรี่และให้เพื่อนร่วมงานได้รับควันบุหรี่ไปด้วย ตามรายงานของรอยเตอร์
อย่างไรก็ตาม เคที มัลลิแกน พนักงานบริษัทโฆษณาในกรุงลอนดอน ยังคงอบขนมเค้กบีทรูทให้เพื่อนร่วมงานต่อไป โดยเธอเห็นว่า การนำเค้กมาแบ่งปันกับที่ทำงานนั้นต่างจากการสูบบุหรี่ เพราะเพื่อนร่วมงานของเธอจะเลือกรับประทานเค้กที่เธอนำไปหรือไม่ก็ได้
มัลลิแกนเห็นว่า เค้กของเธอช่วยให้เพื่อนร่วมงานตื่นตัวขึ้นระหว่างการทำงานช่วงบ่าย และบีทรูทเองก็เป็นส่วนประกอบที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน โดยเธอกล่าวว่า “(การนำเค้กมาที่ทำงาน) ช่วยสร้างมิตรภาพ สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร...ตราบใดที่ผู้คนมีความตระหนักและ (รับประทานอาหาร) อย่างสมดุล ฉันยังคิดว่า (การนำเค้กมาแบ่งปัน) ยังเป็นเรื่องที่น่ารักในที่ทำงานนะคะ"
ก่อนหน้านี้ เจ็บบ์ได้ให้สัมภาษณ์โดยไม่ได้เป็นในนามขององค์กรของเธอว่า วัฒนธรรมการนำเค้กไปที่ทำงา เป็นการส่งเสริมให้ผู้คนเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และยกตัวอย่างว่า ถ้าไม่มีใครนำเค้กมาที่ทำงาน เธอก็คงไม่ได้แตะต้องเค้กเลยในวันดังกล่าว
ท่าทีของเจ็บบ์มีขึ้นไม่กี่วันหลังรัฐสภาอังกฤษเผยแพร่รายงานที่ระบุว่า ผู้ใหญ่ชาวอังกฤษ 25.9% ประสบภาวะโรคอ้วน และอีก 37.9% มีน้ำหนักเกิน อ้างอิงจากผลสำรวจเมื่อปี 2021
รายงานฉบับนี้ยังเผยด้วยว่า สหรัฐฯ มีอัตราผู้เป็นโรคอ้วนสูงที่สุดในโลกที่ 43% ขณะที่ อังกฤษมีอัตราดังกล่าวที่ 28% อ้างอิงจากข้อมูลสถิติด้านสุขภาพขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
แคธารีน เจนเนอร์ ผู้อำนวยการของเครือข่าย Obesity Health Alliance ซึ่งเป็นเครือข่ายขององค์กรกว่า 40 องค์กรเพื่อรับมือปัญหาโรคอ้วนผ่านการกระตุ้นนโยบายรัฐ กล่าวว่า แนวโน้มโรคอ้วนในอังกฤษนั้นมีแต่ “ย่ำแย่ลง”
เจนเนอร์กล่าวว่า ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษและหน่วยงานอื่น ๆ ต้องใช้งบประมาณปีละราว 60,000 ล้านปอนด์ หรือราว 2.4 ล้านล้านบาท เพื่อรับมือกับโรคอ้วน
เธอตบท้ายว่า อังกฤษจะต้องปรับวัฒนธรรมการกินโดยเร็ว และขณะนี้ประเทศเผชิญปัญหาสุขภาพจากน้ำตาลและพฤติกรรมการรับประทานอาหารในระดับใกล้เคียงกับเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
- ที่มา: รอยเตอร์