สำนักงานผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ The Office of the Director of National Intelligence (ODNI) ซึ่งมีองค์กรหลายแห่งเช่น CIA หรือหน่วยข่าวกรองกลาง อยู่ภายใต้สังกัดได้จัดลำดับในรายงานประเมินด้านความมั่นคงในปีล่าสุดว่า จีน รัสเซีย อิหร่าน และ เกาหลีเหนือนั้นล้วนท้าทายอิทธิพลของอเมริกาบนเวทีโลก
รายงานดังกล่าวมีการเรียบเรียงโดยหน่วยข่าวกรองใหญ่ของสหรัฐฯซึ่งจะทำการนำเสนอข้อมูลสำคัญๆด้านความมั่นคงต่อวุฒิสภาทุกปีๆ แต่เมื่อปี 2019 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์วิจารณ์การประเมินของหน่วยข่าวกรองว่าไม่เด็ดขาดและดีพอ จึงทำให้ไม่มีการรายงานถึงภัยคุกคามต่างๆ ในปี 2020 ต่อวุฒิสภา เพราะฉะนั้น รายงานการประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงของปีนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก
จีนคือภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด
รายงานของปี 2021 ระบุว่าปัจจุบัน จีนคือภัยคุกคามอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ โดยอธิบายว่า “รัฐบาลจีนใช้กลยุทธ์แซกแทรงความสัมพันธ์ที่ดีของอเมริกากับประเทศพันธมิตร และ พยามสร้างบรรทัดฐานโลกใหม่ที่สนับสนุนแนวคิดการปกครองระบอบเผด็จการตามแบบจีน”
ท่ามกลางความตรึงเครียดจากแข่งขันกันเป็นมหาอำนาจโลกระหว่างจีนและสหรัฐฯนั้น รายงานระบุว่า จีนพร้อมที่เพิ่มขนาดกองทัพทหารในประเทศต่างๆ และการแสดงการแสนยานุภาพของขีปนาวุธต่อไปเรื่อยๆ รวมถึงการพัฒนาและสั่งสมคลังแสงของหัวอาวุธนิวเคลียร์ที่มีความทันสมัยและอันตรายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อที่จีนจะสามารถโต้กลับด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศตนเอง หากถูกโจมตีด้วยอาวุธชนิดดังกล่าวจากประเทศอื่น
ส่วนการแข่งขันทางด้านอวกาศและเทคโนโลยี สหรัฐฯชี้ว่าสถานีอวกาศของจีนที่จะทำการโคจรรอบโลกต่อไปในระยะเวลาสามปีนั้นเป็นภัยคุกคามสำคัญ เนื่องจากจีนสามารถทำการโจมตีทางออนไลน์ ขัดขวางและก่อกวนระบอบการสื่อสารในสหรัฐฯได้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของหน่วยข่าวกรองคาดว่า จีนจะพยามหาโอกาสที่จะสร้างไมตรีกับสหรัฐฯ ตราบใดก็ตามที่ความร่วมมือระหว่างสองประเทศนั้นเอื้อประโยชน์ต่อจีนมากกว่า
รัสเซีย
ทางด้านรัสเซีย นักวิเคราะห์ประเมินว่ารัฐบาลเครมลินยังคงมุ่งมั่นที่จะลดอำนาจของสหรัฐฯ และพยามที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างอเมริกากับพันธมิตรฝั่งตะวันตก แต่รัสเซียจะไม่บั่นทอนอำนาจของอเมริกาผ่านการใช้กำลังทางทหารหรืออาวุธ
รายงานระบุว่า นักการทูตรัสเซียเชื่อว่าสหรัฐฯนั้นพยามที่จะใช้ยุทธศาสตร์ที่จะขัดขวางอำนาจของรัสเซียและประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และพยามที่จะตั้งตัวแทนที่สนับสนุนสหรัฐฯในประเทศเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจของสหภาพโซเวียดมาก่อน แต่รัสเซียก็จะพยามสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ โดยไม่ใช้กำลัง เพื่อให้สหรัฐฯ เข้าใจถึงการขยายอำนาจของรัสเซียไปยังกลุ่มประเทศดังกล่าว ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการขยายอำนาจต่อประเทศเคยตกอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียดมาก่อน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากหน่วยข่าวกรองเชื่อว่าพฤติกรรมของรัสเซียนั้นไม่สอดคล้องกับท่าทีที่เป็นมิตร โดยชี้ว่า รัสเซียจะคงโจมตีสหรัฐฯ ผ่านทางออนไลน์ สร้างความปั่นป่วนในยูเครน หรือประเทศคู่อริต่อไป
นอกจากนี้ รัฐบาลวอชิงตันยังชี้ว่าแสนยานุภาพทางการทหารของรัสเซียนั้นเป็นปัญหาสำคัญ โดยชี้ว่ารัสเซียเมีขีปนาวุธนิวเคลียร์มากและเกือบเทียบเท่าสหรัฐฯ
อิหร่านและเกาหลีเหนือ กับ การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
หน่วยข่าวกรองคาดว่าอิหร่านจะยังคงขยายอิทธิพลในตะวันออกกลางต่อไป รวมทั้งการจัดตั้งกองทัพอย่างถาวรในประเทศซีเรียและการสนับสนุนฝ่ายต่างๆ ให้ก่อความไม่สงบในประเทศอัฟกานิสถาน
ทั้งนี้ การกลับมาเจรจากับสหรัฐฯเพื่อฟื้นฟูข้อตกลงนิวเคลียร์ก็จะไม่ส่งผลให้อิหร่านหยุดการกระทำดังกล่าว หน่วยข่าวกรองยังรายงานว่า อิหร่านได้ดำเนินการด้านนิวเคลียร์ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าอิหร่านได้ยกระดับกิจกรรมดังกล่าวจนถึงขั้นพัฒนาหัวรบอาวุธนิวเคลียร์
ส่วนทางด้านเกาหลีเหนือ สหรัฐฯคาดว่าผู้นำ คิม จองอึน จะใช้กลยุทธ์ต่างๆ ที่รุนแรงขึ้นเพื่อขยายอำนาจและส่งผลกระทบต่อภูมิภาคต่อไป
องค์กรการก่อการร้าย และ ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ
สำหรับอีกปัจจัยสำคัญที่กระทบบทบาทความเป็นมหาอำนาจและมั่นคงของสหรัฐฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คือ องค์กรการก่อการร้ายอย่าง กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ กลุ่มไอเอส และ กลุ่มอัลเคดะห์
หน่วยข่าวกรองชี้ว่า กลุ่มไอเอสยังสามารถสร้างความปั่นป่วนระยะยาวในอิรักและซีเรียต่อไปได้ และยังคงมีสมาชิกต่างๆทั่วโลก ส่วนกลุ่มอัลเคดะห์ แม้จะถูกหยุดยั้งไปในเวลาหลายปีก็ยังคงมีสมาชิกอยู่ในแถบแอฟริกา
ทางด้านยุโรป อย่างเช่น ออสเตรเลีย นอร์เวย์ เยอรมัน และ สหราชอาณาจักร ก็ยังประสบปัญหาจากกลุ่ม White Supremacist ซึ่งเชื่อว่าเผ่าพันธุ์คนผิวขาวนั้นมีฐานะสูงส่งและเป็นเลิศกว่ากลุ่มเผ่าพันธุ์อื่น
ปัจจัยท้ายสุดนี้ คือ นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาตินั้นจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านสภาพแวดล้อม เช่น ทางด้านอาหาร น้ำ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งจะก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองและวิกฤตผู้ลี้ภัยจากประเทศในแถบอเมริกากลางตามมาอีกด้วย