ประธานาธิบดีโอบาม่ากล่าวว่า กรอบโครงร่างความตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านซึ่งจะมีการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อตกลงท้ายสุดภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ นับเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะสร้างเสถียรภาพขึ้นในตะวันออกกลาง และจะเป็นผลดีต่อทั้งอิสราเอลและประเทศอื่นๆ ด้วย
พร้อมทั้งยืนยันว่าอิหร่านจะไม่สามารถสร้างอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นได้ตราบที่ตนยังเป็นผู้นำของสหรัฐฯอยู่ และวิธีที่ดีที่สุดที่จะบรรลุผลเรื่องนี้คือการเจรจา ซึ่งได้เกิดผลเป็นกรอบโครงร่างข้อตกลงนิวเคลียร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่สวิสเซอร์แลนด์
แต่นายกรัฐมนตรี Benjamin Netanyahu ของอิสราเอลมีความเห็นต่าง โดยชี้ว่าการยอมทำความตกลงทำให้อิหร่านยังคงมีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์อยู่อีกมากมาย เพราะไม่มีการระบุให้ปิดหรือทำลายอุปกรณ์ด้านนิวเคลียร์ใดๆ และจะทำให้อิหร่านมีวัสดุนิวเคลียร์ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำอาวุธได้ในที่สุด
ทางด้านนาย Ernest Moniz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ยืนยันว่ากรอบโครงร่างข้อตกลงกับอิหร่านนี้จะมีผลบังคับในระยะยาว และจะเปิดโอกาสให้สามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ส่วนวุฒิสมาชิก Bob Corker ของพรรครีพับริกันในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาให้ความเห็นว่า ขณะนี้ยังมีข้อมูลรายละเอียดหลายอย่างที่ยังไม่ทราบหรือไม่ได้เปิดเผยจึงยากที่จะบอกได้ว่าข้อตกลงนี้ดีหรือไม่ และว่ารัฐสภาฯ สหรัฐฯ จะเสนอร่างกฎหมายที่จะกำหนดให้ประธานาธิบดีโอบาม่าต้องนำข้อตกลงท้ายสุดเสนอให้สภาพิจารณาและลงมติ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าพรรครีพับริกันจะมีเสียงสนับสนุนถึง 67 เสียงซึ่งมากพอที่จะลบล้างการใช้สิทธิยับยั้งหรือวีโต้ร่างกฎหมายดังกล่าวโดยประธานาธิบดีโอบาม่าหรือไม่