เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หกประเทศมหาอำนาจของโลกทำความตกลงกับอิหร่านเรื่องกรอบโครงร่างเพื่อการเจรจาให้บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ท้ายสุด ภายในวันที่ 30 มิถุนายน
นายกรัฐมนตรี Benjamin Netanyahu ของอิสราเอลได้กล่าวตำหนิกรอบโครงร่างข้อตกลงดังกล่าว โดยระบุว่าเรื่องนี้จะทำให้อิหร่านสามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ได้ในที่สุด และการยกเลิกมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจก็จะช่วยให้อิหร่านมีทุนทรัพย์เพื่อสนับสนุนการก่อการร้ายและจะสามารถเข้าครอบครองตะวันออกกลางได้
แต่นาย Mohammad Javad Zarif รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านยืนยันว่าอิหร่านจะพิสูจน์ต่อโลกเรื่องการปฏิบัติตามสัญญานี้ อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่ผลประโยชน์แห่งชาติของอิหร่านตกอยู่ในอันตรายจากการละเมิดของอีกฝ่ายหนึ่ง อิหร่านก็จะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร
รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านยังไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ใช้ถ้อยคำว่าจะมีการพักหรือระงับมาตรการลงโทษต่ออิหร่านในระหว่างการเจรจาที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ควรจะใช้คำว่ายกเลิกมาตรการลงโทษแทน
รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านระบุว่า ในวันใดที่สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA ให้คำยืนยันว่าอิหร่านได้ปฏิบัติตามพันธกรณีตามข้อตกลงท้ายสุด สหรัฐฯจะต้องยกเลิกมาตรการลงโทษทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเงินทั้งหมดต่ออิหร่านโดยทันที