เกาหลีเหนือทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญของตนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านกองกำลังนิวเคลียร์ ขณะที่ คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดประกาศคำมั่นที่จะเร่งกระบวนการผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพื่อทำการป้องปรามสิ่งที่ตนเรียกว่าเป็น การยั่วยุจากสหรัฐฯ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่อ้างข้อมูลจากสื่อรัฐบาลกรุงเปียงยาง
หลังการประชุมของสภาประชาชนสูงสุดเกาหลีเหนือเป็นเวลา 2 วัน สื่อ KCNA รายงานว่า ที่ประชุมดังกล่าวลงมติเป็นเอกฉันท์ให้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาในรัฐธรรมนูญของประเทศโดยให้มีการระบุว่า เกาหลีเหนือ “จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ความสามารถสูงเพื่อให้มั่นใจว่า สิทธิ์ในการดำรงอยู่ของตนยังคงอยู่และเพื่อป้องปรามสงคราม”
ผู้นำ คิม จอง อึน ยังกล่าวต่อที่ประชุมด้วยว่า “นโยบายการสร้างกองกำลังนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีกลายมาเป็นนโยบายถาวรในฐานะกฎหมายพื้นฐานของรัฐซึ่งไม่อนุญาตให้ใครดูถูกเหยียดหยามได้” และยังประกาศเน้นย้ำ “ความจำเป็นของการผลักดันการทำงานเพื่อเพิ่มการผลิตอาวุธนิวเคลียร์แบบยกกำลัง และเพื่อการผลิตวิธีการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ที่หลากหลายและการกระจายทั้งหมดนี้ไปยังหน่วยต่าง ๆ ด้วย”
ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือยังกล่าวด้วยว่า การฝึกซ้อมทางทหารของสหรัฐฯ และการจัดส่งสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ทางทหารมาในภูมิภาคเกาหลีนั้นคือ การยั่วยุอย่างสุดโต่ง
หลังมีรายงานข่าวเรื่องนี้ออกมา กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ให้ความเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของกรุงเปียงยางแสดงให้เห็นถึง “ความตั้งใจอันแรงกล้า” ของเกาหลีเหนือที่จะไม่ยอมยกเลิกโครงการพัฒนานิวเคลียร์ โดยระบุในแถลงการณ์ว่า “เราขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า เกาหลีเหนือจะประสบกับจุดจบของตนเอง ถ้าตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมา”
ส่วน ฮิโรคาซุ มัตสุโนะ หัวหน้าเลขานุการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่า “การพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือคือ ภัยคุกคามต่อสันติภาพและความปลอดภัยของประเทศของเราและประชาคมโลก และจะไม่มีการยอมอดทนอดกลั้นต่อเรื่องนี้เป็นอันขาด”
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ความเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของเกาหลีเหนือครั้งนี้เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ เพื่อประกาศความตั้งใจของตนที่จะมีกองกำลังนิวเคลียร์แบบถาวรซึ่งจะไม่ยอมให้มีการเจรจาต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น
ยาง มู-จิน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยการศึกษาเกาหลีเหนือในกรุงโซล บอกกับรอยเตอร์ว่า “สงครามเย็นครั้งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและความตึงเครียดทางทหารในคาบสมุทรเกาหลีนั้นจะยิ่งรุนแรงขึ้นอีก”
- ที่มา: รอยเตอร์
กระดานความเห็น