รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอจะขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับการขอวีซ่าประเภทคนเข้าเมืองแบบไม่ถาวร เช่น วีซ่านักท่องเที่ยว วีซ่านักธุรกิจ และวีซ่านักศึกษา ภายในเดือนกันยายนปีนี้ ขณะที่ยังเปิดรับฟังความคิดเห็นจนถึงสิ้นกุมภาพันธ์
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดตามนโยบายคนเข้าเมืองบางคนเกรงว่า หากไม่มีการแก้ปัญหาเรื่องเวลาการรอวีซ่าที่นานขึ้นและยังมีการขึ้นค่าธรรมเนียมด้วยแล้ว ผลที่ได้คืออาจมีนักศึกษาและนักท่องเที่ยวเดินทางไปสหรัฐฯ น้อยลง
ตัวเลขจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงว่าประเภทของวีซ่าที่มีผู้ยื่นขอเพื่อเดินทางเข้าสหรัฐฯ มากที่สุด คือ วีซ่าท่องเที่ยว วีซ่าธุรกิจ และวีซ่าสำหรับนักศึกษา และตามข้อเสนอใหม่นี้ ค่าธรรมเนียมสำหรับการขอวีซ่าท่องเที่ยว B1 และ B2 กับวีซ่านักศึกษาประเภท F, M และ J จะเพิ่มขึ้น 54% จาก 160 ดอลลาร์เป็น 245 ดอลลาร์
ในขณะที่วีซ่าซึ่งออกให้กับผู้ที่เข้าไปทำงานในสหรัฐฯ คือวีซ่าประเภท H, L, O, P, Q และ R นั้นจะถูกขึ้นค่าธรรมเนียม 63% จากเดิม 190 ดอลลาร์เป็น 310 ดอลลาร์
คุณ David Bier ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายคนเข้าเมืองของสถาบัน Cato บอกกับวีโอเอว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่านี้มีขึ้นขณะที่ตัวเลขการเดินทางและการท่องเที่ยวไปยังสหรัฐฯ กำลังลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำที่สุด นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังกำหนดให้ผู้ขอวีซ่าประเภทนักท่องเที่ยวหรือวีซ่าของผู้เดินทางไปทำธุรกิจในสหรัฐฯ จากหลายประเทศ ต้องรอเป็นเวลาหกเดือนถึงหนึ่งปีด้วย
ผู้เชี่ยวชาญบอกด้วยว่า เรื่องสำคัญที่สุดขณะนี้คือการออกวีซ่าให้ได้ทันความต้องการ เพราะหากรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า แต่ไม่มีผลด้านบริการ โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาที่ต้องรอแล้ว ผลที่จะเกิดขึ้นก็คืออาจจะมีผู้เดินทางไปสหรัฐฯ น้อยลงได้
ตามตัวเลขของหน่วยงานที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยสำหรับการเดินทางของสหรัฐฯ หรือ TSA นั้น ขณะนี้จำนวนผู้เดินทางทางอากาศในสหรัฐฯ ลดลงถึงราวหนึ่งเท่าตัวเมื่อเทียบกับเมื่อสามปีที่แล้ว คือมี 1 ล้าน 1 แสนคน ณ วันที่ 26 มกราคมปีนี้ เทียบกับกว่า 2 ล้านคนในวันเดียวกันของปี 2019
และถึงแม้ในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีไบเดนจะได้เปิดเผยร่างกฏหมาย U.S. Citisenship Act of 2021 เพื่อปฏิรูประบบคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ และจะเปิดโอกาสให้คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ในประเทศโดยไม่มีเอกสารอย่างถูกต้องราว 11 ล้านคนมีโอกาสได้สัญชาติอเมริกันภายในแปดปี รวมทั้งมีแผนจะแก้ปัญหาเรื่องวีซ่าการทำงานในสหรัฐฯ ที่ยังคั่งค้างอยู่มากก็ตาม แต่ข้อเสนอเพื่อปฏิรูประบบคนเข้าเมืองดังกล่าวก็ยังไม่ผ่านสภา โดยหลายคนเชื่อว่าคงไม่มีโอกาสจะได้เป็นกฎหมายด้วย
ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เอง ทางกระทรวงได้ระงับการให้บริการเรื่องวีซ่าที่สถานทูตและสถานกงสุลทั่วโลกเป็นการชั่วคราวในปี 2020 จากข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 และขณะนี้ถึงแม้สถานกงสุลหลายแห่งจะกลับมาให้บริการวีซ่าได้บ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีอยู่ราว 25% ที่ยังคงปิดอยู่หรือให้บริการเพียงบางส่วนเท่านั้น ตามข้อมูลของสถาบัน Cato
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นผลจากการประเมินค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของการให้บริการ บวกกับการคาดการณ์เรื่องความต้องการในอนาคตด้วย
แต่คุณ Jill Welch ที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายของกลุ่มพันธมิตรด้านการศึกษาและคนเข้าเมือง ได้ชี้ว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมควรเป็นผลให้มีบริการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรทำให้เวลาที่ต้องรอวีซ่าลดลง
คุณ David Bier จากสถาบัน Cato ก็ให้ข้อมูลว่า สถานกงสุลสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ในต่างประเทศรายงานว่า ผู้ขอวีซ่าประเภทท่องเที่ยวกับวีซ่าเพื่อทำธุรกิจในสหรัฐฯ ต้องรอเวลานัดสัมภาษณ์ถึง 202 วันในขณะนี้ ส่วนวีซ่าสำหรับนักศึกษานั้นเวลาที่ต้องรอคือ 38 วันโดยเพิ่มขึ้นจาก 25 วันเมื่อปีที่แล้วด้วย
ตัวเลขจาก NAFSA สมาคมนักการศึกษาระหว่างประเทศ ระบุว่า นักศึกษาต่างชาติในอเมริกานำเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เกือบ 41,000 ล้านดอลลาร์ และช่วยสนับสนุนงานกว่า 450,000 ตำแหน่งในช่วงปีการศึกษา 2018 - 2019 ถึงแม้ตัวเลขนี้จะลดลงเหลือราว 28,000 ล้านดอลลาร์สำหรับปีการศึกษา 2020 - 2021 นี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คุณ Marcelo Barros ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำงานของนักศึกษาต่างชาติที่กรุงวอชิงตัน บอกกับวีโอเอว่า ถึงแม้การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่เรื่องนี้ก็คงจะไม่เปลี่ยนใจใครเกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐฯ อย่างแน่นอน เพราะสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ตัดสินใจจะไปเรียนต่อในสหรัฐฯ หรือสำหรับผู้ที่จะไปทำงานให้กับบริษัทอเมริกัน ถ้าคนเหล่านี้มีความต้องการแล้ว พวกเขาก็จะยอมจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นอยู่ดี