หลังจากที่ตกเป็นข่าวบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับสตรีไทยรายหนึ่งและสัตว์เลี้ยงที่ถูกทำร้ายในนครนิวยอร์ก ผู้สื่อข่าววีโอเอไทย จณิน ภักดีธรรม ได้การติดต่อไปยังตำรวจนิวยอร์กและได้สัมภาษณ์พิเศษกับสตรีเชื้อสายไทยคนดังกล่าว ที่ออกมาร้องขอความยุติธรรมมาหลายสัปดาห์
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ 'สุชานันท์ อักษรนันท์' หรือ รุ้ง เชฟและเจ้าของร้านอาหารไทยในนิวยอร์ก พาสัตว์เลี้ยงทั้งสี่ตัว ซึ่งมีแมวสองตัว สุนัขหนึ่งตัวและนกขนาดเล็ก ออกมาเดินเล่นในละแวกบ้าน
“ปกติแล้วรุ้งกับแฟนก็จะผลัดกันหรือไม่งั้นก็ไปด้วยกันนะคะ ก็จะพาลูกๆออกไปเดิน จะมีรถเข็นคันนึง น้องแมวก็จะอยู่ในรถเข็น ตัวนึงเนี่ยคือน้องพอนซุ เขาจะเชื่องมาก เขาแสนรู้ค่ะ เขาจะเดินกับสายจูงได้เหมือนหมาเลย”
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นตอนประมาณ 17.00 น. วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ทางตำรวจนิวยอร์กยืนยันกับ วีโอเอ ว่าได้รับเรื่องร้องเรียนถึงเหตุทำร้ายร่างกายที่สวนสาธารณะแม็คแคเร็น ในย่านบรูคลินซึ่งมีคู่กรณีเป็นคุณรุ้ง
เมื่อ 'วีโอเอ' สอบถามไปยังคุณรุ้ง เธอเล่าให้ฟังว่า...“ก็มีเด็กคนนึงอายุประมาณสัก 12 เขาก็วิ่งเข้ามาแบบ tackle วิ่งเข้ามาใส่สายจูงของน้องแมวเลย ลองจินตนาการดูเหมือนกับคนที่วิ่งเข้าเส้นชัย แรงขนาดนั้นเลย ความที่มันไวมากและก็แรงมากมันเลยทำให้น้องแมวปลิวขึ้นไปบนอากาศและก็ตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง....เขาตกใจแล้วเขาตะเกียกตะกาย พยายามจะวิ่งหนีแต่มันติดเชือคอยู่ไงคะ แล้วเชือกมันหลุดออกจากมือของรุ้งไปแล้ว แต่ว่ามันไปติดตัวของเด็กคนนั้น เด็กเขาก็วิ่งต่อไปแล้วก็ลากเอาแมวของเราไปตามทาง“
หลังจากนั้น คุณรุ้งจึงรีบวิ่งเข้าไปเก็บพอนซุที่กำลังชักอยู่บนพื้นมาไว้ในอ้อมกอดและเจ้าแมวน้อยก็จากเธอไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เธอถามเด็กคนดังกล่าวว่าทำอะไรลงไป แต่แม่ของเด็กที่มาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนหลายคนสวนกลับด้วยการตะโกนด่าด้วยคำหยาบคาย
ตอนนี้เองคลิปวีดีโอที่พยานอัดไว้ได้แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่บานปลาย โดยผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งตัวเข้าใส่คุณรุ้ง ทำให้เธอล้มลงกับพื้นและถูกรุมทำร้ายด้วยการเตะเข้าที่ท้องและกระทืบที่ขาหลายที คุณรุ้งยังพยามยกมือมาป้องหน้าตัวเองจากการถูกเล็บจิกอีกด้วย
เมื่อฟังเสียงในคลิป จะได้ยินเสียงของฝ่ายผู้ปกครองของเด็กกล่าวหาว่าคุณรุ้งเข้าไปทำร้ายเด็กก่อน และ สมควรโดนกระทำเพราะเธอนำแมวมาใส่สายจูงเดินเล่นเอง อย่างไรก็ตาม คุณรุ้งยืนยันกับวีโอเอว่าเธอไม่ได้สัมผัสตัวเด็กด้วยซ้ำ
“ก็มีคนโทรศัพท์เรียกตำรวจมา เขารู้แล้วว่าตำรวจกำลังจะมา เขาก็หนีขึ้นรถไป 2 คันเลย...คือรุ้งใจสลายมาก ลูกรุ้งตายแล้วคนพวกนี้ก็หนีไปได้”
วีโอเอ พยายามติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอข้อมูลในการเสนอมุมมองของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา แต่ก็ได้รับคำตอบเพียงว่าเจ้าหน้ากำลังดำเนินคดีอยู่
ขณะนี้ เวลาผ่านไปกว่าสองสัปดาห์แล้ว และล่าสุดคุณรุ้งกล่าวผ่านโซเชี่ยลมีเดียในวันพุธว่าตำรวจในเขตบรูคลินได้ติดต่อกลับมา เธอกล่าวว่าตำรวจอยู่ในกระบวนการเรียกพยานมาให้ปากคำเพิ่ม
การดำเนินการล่าสุดเปลี่ยนไปจากช่วงเเรกที่ยังไม่เกิดกระเเสบนสื่อออนไลน์มากนัก คุณรุ้งเล่าให้ฟังถึงปฏิกิริยาของตำรวจก่อนหน้านี้ว่า
“เขาก็เลยบอกว่า อ๋อ พวกเธอที่โดนทำร้ายตรงปาร์คนี้ใช่ไหม ฉันรู้ พวกเธอโทรมาทำไม จะมาเอาอะไร ก็เธอไปทำเขาก่อนหนิ...เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นก็เป็นเพราะเธอ เธอเอาหมา เอาแมวออกมาเสี่ยงตายเองข้างนอก ใครกันเดินแมวบนสายจูง เป็นเพราะเธอนั่นแหละที่เดินไปต่อล้อต่อเถียงเขา ฉันว่าเธอนั่นแหละผิด เธอจะต้องไปทำลูกเขาก่อนแน่นอน รุ้งก็ไม่ยอม บอกเขากลับไปว่า ‘Sir, I didn’t touch the kid.’ เขาบอกว่า ‘I believe in what I see on the video’ เขาบอกว่า ก็หลักฐานก็คือที่ครอบครัวที่ตะโกนอยู่ในวีดีโอไงว่ารุ้งทำร้ายเด็ก...หลักฐานนั้นนะหรอที่ทำให้รุ้งโดนกระทำและไม่ได้รับความยุติธรรมเลย”
เธอเล่าประสบการณ์ดังกล่าวผ่านทางโชเชียล #JusticeforPonzu ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยมีคนติดต่อเข้ามาให้กำลังใจและอยากร่วมบริจาคเงินเพื่อให้เธอสู้คดี
นอกจากนี้ทางด้านสถานกงสุลไทยในนิวยอร์กติดต่อเธอเพื่อขอรหัสคดีและให้คำมั่นว่าจะช่วยประสานงานกับตำรวจ
คุณรุ้งทิ้งท้ายว่าเธอจะสู้ต่อ และจะรวบรวมเงินเพื่อจ้างทนาย จะเอาเรื่องจากคู่กรณีและเจ้าหน้าที่ให้ถึงที่สุด
สำหรับศพของเจ้าแมวสีเทาตัวน้อย คุณรุ้งได้ทำการเผาและเก็บอัฐิของพอนซุไว้ที่บ้าน เธอเล่าให้ว่าสัตว์เลี้ยงที่เหลืออีกสามตัวเข้ามาคลอเคลียที่เก็บอัฐิเมื่อเธอนำกลับมาที่บ้าน
“ก็ไม่อยากจะเชื่อนะว่า สัตว์หน่ะ พวกเขารู้นะ เขารับรู้ว่าพี่ใหญ่ของเขาหายไป เขารู้ว่ามันจะไม่เหมือเดิม เขาเข้ามาดมอัฐิและก็เข้ามาคลอเคลีย เขารู้ว่านี่คือพอนซุ ก่อนหน้าที่รุ้งจะได้อัฐิมาประมาณสัก 3 ถึง 4 วัน พวกนี้ไม่กินข้าวเลยเพราะเขาไม่รู้ว่าพี่เขาหายไปไหน”
(เรื่องและภาพโดย จณิน ภักดีธรรม จากนครนิวยอร์ก)