ประชาชนชาวเมียนมาผู้สนับสนุน นางอองซานซูจี ปะทะกับตำรวจอีกครั้งในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของการชุมนุมประท้วงต่อต้านการทำรัฐประหารและเพื่อเรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้แก่รัฐบาลพลเรือน แม้ว่าจะมีคำสั่งจากรัฐบาลทหารห้ามการชุมนุมบังคับใช้อยู่ก็ตาม
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเมาะลำเลิง หรือ มะละแหม่ง ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเมียนมา มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนยางของตำรวจอย่างน้อย 3 ราย
เหตุรุนแรงล่าสุดจากเหตุประท้วงต่อต้านกองทัพเมียนมานี้เกิดขึ้นในวันสหภาพ (Union Day) ที่ทำให้มีชาวเมียนมาทั่วประเทศออกมาชุมนุมกันมากที่สุด นับตั้งแต่เมื่อครั้งมีเหตุการณ์การปฏิวัติชายจีวร (Saffron Revolution) เมื่อ ปีค.ศ. 2007
นับตั้งแต่การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นหลังจากกองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มีผู้ถูกจับกุมตัวไปแล้วอย่างน้อย 350 คน
รายงานข่าวระบุว่า ในวันสหภาพปีนี้ รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศปล่อยตัวนักโทษ 23,000 คนจากเรือนจำ โดยในบรรดาผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้น มีพระสงฆ์นักเคลื่อนไหวแนวคิดรักชาติรูปหนึ่ง และนักโทษผู้สังหารที่ปรึกษาของนางอองซานซูจี เมื่อปี ค.ศ. 2017 อยู่ด้วย ตามรายงานของสำนักข่าว ABC
นอกจากนั้น วิดีโอคลิปที่เผยแพร่โดย Radio Free Asia ซึ่งเป็นหน่วยงานสื่อที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ยังแสดงให้เห็นภาพ ผู้ประท้วงในเมืองเมาะลำเลิงขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่บรรดาผู้รักษากฎหมายจะพุ่งเข้าประชิดตัวและจัดการกับผู้ชุมนุม พร้อมทั้งรายงานด้วยว่า ผู้ประท้วงบางรายถูกจับกุมก่อนจะได้รับการปล่อยตัว หลังจากที่มีฝูงชนประประท้วงที่หน้าสถานีตำรวจ
ขณะเดียวกัน สถานีโทรทัศน์ของรัฐรายงานว่า ตำรวจต้องใช้กระสุนยางเข้าจัดการกับการชุมนุมเพราะผู้ประท้วงปฏิเสธที่จะสลายตัว
การชุมนุมของประชาชนในเมียนมายังก่อตัวขึ้นในเมืองใหญ่อื่นๆ ของประเทศ เช่น นครย่างกุ้ง และกรุงเนปิดอว์ รวมทั้ง เมืองท่าเช่น ทวาย และเมืองมิตจีนา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐคะฉิ่นด้วย
การประท้วงที่ดำเนินติดต่อมาถึง 1 สัปดาห์ทั่วเมียนมา ยังเกิดขึ้นที่ภายนอกสถานเอกอัครราชทูตจีนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยผู้ชุมนุมกล่าวหาว่า จีนเป็นผู้หนุนหลังการก่อรัฐประหารครั้งนี้
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ผู้สอบสวนด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติประจำเมียนมา ได้เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกาศดำเนินมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ และสั่งห้ามการซื้อขายอาวุธให้กับรัฐบาลทหารชุดใหม่ด้วย
