อุตสาหกรรมดนตรีเร่งมีบทบาทในการช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อน ด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งมุ่งหวังที่จะช่วยแฟนเพลงจำนวนมากตระหนักถึงผลกระทบของการปรับขึ้นของอุณหภูมิโลก โดยล่าสุด วงดนตรีชื่อดังจากอังกฤษอย่าง โคลด์เพลย์ประกาศแผนงานปฏิวัติการผลิตและใช้พลังงานในการแสดงคอนเสิร์ตของตน
โคลด์เพลย์ (Coldplay) วงดนตรีชื่อดังก้องโลกจากอังกฤษ กำลังวางแผนที่จะใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการแสดงและผลิตผลงานของตน
วงดนตรีเจ้าของรางวัลมากมายนี้ได้ตั้งปณิธานไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะใช้วิธีการที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึง การใช้พลังงานที่ไม่เพิ่มก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อให้เป็นไปตามความหวังที่จะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ของตัวเองให้ได้ถึง 50%
ในการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกครั้งล่าสุดของพวกเขานั้น วงโคลด์เพลย์ได้เพิ่มฟลอร์เต้นรำแบบพิเศษและจักรยานออกกำลังกายที่สามารถเก็บกักพลังงานได้ เพื่อให้แฟน ๆ ได้เข้ามาช่วยผลิตพลังงานที่ใช้ในการแสดงคอนเสิร์ต โดยการผลิตไฟฟ้าในขณะที่เต้นอยู่บนฟลอร์หรือปั่นจักรยานพร้อม ๆ กับสนุกไปกับเสียงดนตรีนั่นเอง
กาย แบรี่แมน (Guy Berryman) มือเบสของวงพูดถึงเรื่องนี้ว่า แฟนเพลงดูเหมือนจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ในการดูคอนเสิร์ตมากขึ้น หากเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทำอะไรที่สนุกสนานไปด้วย
ทั้งนี้ ฟลอร์เต้นรำแบบพิเศษมีชื่อเรียกว่า kinetic dance floor หรือฟลอร์เต้นรำที่สร้างพลังงานได้ด้วยการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่บนฟลอร์ สามารถรองรับคนได้เป็นจำนวนมาก และทางวงยังเปิดโอกาสให้แฟน ๆ ได้แข่งขันกันก่อนการแสดง เพื่อค้นหาว่า แฟนเพลงกลุ่มไหนสามารถสร้างพลังงานได้มากที่สุดอีกด้วย
ในส่วนของจักรยานผลิตไฟฟ้านี้ แต่ละคันสามารถสร้างพลังงานซึ่งจะถูกบรรจุไว้ในแบตเตอรี่เพื่อนำไปใช้ในส่วนต่าง ๆ ของการแสดงคอนเสิร์ตได้โดยเฉลี่ย 200 วัตต์ เลยทีเดียว
คริส มาร์ติน (Chris Martin) นักร้องนำวงโคลด์เพลย์ กล่าวว่า ทางวงต้องการแสดงให้ผู้คนเห็นว่า การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นรูปแบบในการดำเนินธุรกิจที่ดี
อย่างไรก็ตาม วงโคลด์เพลย์ไม่ได้เป็นนักดนตรีเพียงกลุ่มเดียวที่พยายามลดผลกระทบของการทัวร์คอนเสิร์ตที่มีต่อสภาพภูมิอากาศของโลก แต่ยังมีนักดนตรีและวงดนตรีที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ที่มีความพยายามในเรื่องดังกล่าวด้วย อย่างเช่น บิลลี่ ไอลิช, แฮร์รี สไตลส์, เดอะ ลูมิเนียร์, เดฟ แมธธิวส์ แบนด์, ฌอน เมนเดส, มารูน ไฟว์, จอห์น เมเยอร์, ลอร์ด, เดอะ ชิคส์ และ เดอะ 1975
บรรดาศิลปินเพลงเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามของอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งมีตั้งแต่ทีมกีฬาไปจนถึงบริษัทผู้ผลิตของเล่น ที่ต้องการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนบนโลกนี้
อดัม การ์ดเนอร์ จากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรแห่งหนึ่งที่ช่วยวงดนตรีหลายวง แต่ไม่ได้รวมถึง วงโคลด์เพลย์ ในการจัดคอนเสิร์ตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างนักดนตรีกับแฟน ๆ นับล้านคนนั้น ไม่เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสาธารณะและแฟน ๆ จึงทำให้ แฟนดนตรีทำหน้าเป็นที่แตกต่างกว่า เช่น การเดินเป็นตัวอย่าง หรือ การพูดเป็นตัวอย่าง เป็นต้น
นอกจากนี้ บรรดานักดนตรียังพยายามเลือกอาหารที่ทำจากพืชมาร่วมในกิจกรรมของตนมากขึ้น และเลือกไม่ใช้ภาชนะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทั้งยังพยายามเปลี่ยนแปลงระบบขนส่งที่ตนและแฟนเพลงใช้อีกด้วย
อย่างเช่น ไอลิช ที่ตั้งปณิธานว่าจะกำจัดน้ำดื่มแบบขวดที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ได้ประมาณ 35,000 ขวดออกจากการทัวร์คอนเสิร์ตของเธอ และยังเสิร์ฟแต่อาหารมังสวิรัติหรืออาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เท่านั้นที่ด้านหลังเวที ส่วน วงดนตรีแมซซีฟ แอตแทค ใช้วิธีการเดินทางด้วยรถไฟ
ขณะเดียวกัน ฌอน เมนเดส สัญญาที่จะลดผลกระทบจากการทัวร์คอนเสิร์ตของเขาที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 50% ในการแสดงแต่ละครั้ง โดยเขากล่าวด้วยว่า จะใช้วัสดุที่มีความยั่งยืนในการทำเสื้อผ้าสำหรับการแสดง จะพักในโรงแรมที่พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และจะเดินทางด้วยเครื่องบินที่ใช้เชื้อเพลิงแบบยั่งยืนอีกด้วย
สำหรับวงโคลด์เพลย์นั้น นอกจากวิธีการต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ทางวงยังได้ดำเนินการตามขั้นตอนอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทัวร์คอนเสิร์ตอีกด้วย เช่น การใช้เหล็กรีไซเคิลในการสร้างเวทีคอนเสิร์ต "Music of the Spheres" ซึ่งทางวงตั้งเป้าที่จะเปิดตัวระบบแบตเตอรีสำหรับการจัดทัวร์คอนเสิร์ตระบบแรกของโลก ซึ่งประกอบด้วยแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า BMW ที่นำกลับมาใช้ใหม่จำนวน 40 ก้อน ที่จะมาเป็นแหล่งพลังงงานของการแสดงทั้งชุดของตัวเองได้ในที่สุด
คริส มาร์ติน นักร้องนำของวงนี้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมีขึ้นเพื่อจะช่วยให้แฟนเพลงรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับวง และว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในการแสดงของวงนั้น ได้ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร้องเพลงร่วมกัน และสวมสายรัดข้อมือเหมือน ๆ กัน นอกจากนี้ ยังทำให้พวกเขารู้สึกมีชีวิตชีวา และรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอีกด้วย
- ที่มา: เอพี