การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่ขยับใกล้เข้ามา อาจมีผลพวงสำคัญต่อสหรัฐฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
กล่าวคือ หากพรรครีพับลิกันยังครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภาต่อไป สภาคองเกรสก็จะยังอยู่ฝ่ายเดียวกับทำเนียบขาวในการผลักดันนโยบายหลายอย่างของพรรคให้สำเร็จ
แต่หากพรรคเดโมเครตได้เสียงข้างมากเเละเป็นผู้ควบคุมสภา พรรคเดโมเครตก็จะตรวจสอบ ปธน.ทรัมป์ ในทุกจุด และการครองเสียงกันแบบแบ่งกันคนละกึ่ง ก็จะทำให้ทั้งสภานิติบัญญัติกับสภาผู้แทนราษฎรกลายเป็นศัตรูกันทางการเมือง เเละจะทำให้ตกลงอะไรกันไม่ได้
ในวุฒิสภา ซึ่งมีวุฒิสมาชิก 100 คน เวลานี้พรรครีพับลิกันมีตัวเเทน 51 ที่นั่ง โดยรวมที่นั่งที่ว่างลงของวุฒิสมาชิกจอห์น เเม็คเคน ตัวเเทนรัฐอะริโซนาที่เสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่พรรคเดโมเครตมีตัวเเทนในวุฒิสภา 47 ที่นั่ง และอีกสองที่นั่งเป็นของวุฒิสมาชิกอิสระที่โหวตเสียงให้ฝ่ายเดโมเครต ทำให้ในทางปฏิบัติ พรรคเดโมเครตมีเสียงในวุฒิสภา 49 เสียง
เเละในการเลือกตั้งกลางเทอมนี้ เดโมเครตต้องชิงที่นั่งจากคู่เเข่งไห้ได้อย่างน้อย 2 ที่นั่ง ถึงจะได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา
ส่วนในสภาผู้แทนราษฎรที่มีสมาชิก 435 ที่นั่ง พรรครีพับลิกันมีตัวเเทนครอง 236 ที่นั่ง เทียบกับเดโมเครตที่ 193 ที่นั่ง ซึ่งมีอยู่ 6 ที่นั่งที่ยังว่างอยู่หลังการเลือกตั้งพิเศษก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม
เเละเพื่อครองเสียงข้างมากในสภาล่าง พรรคเดโมเครตจะต้องช่วงชิงได้อีกอย่างน้อย 24 ที่นั่ง
ในเดือนพฤศจิกายน ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะลงคะเเนนเลือกวุฒิสมาชิก 35 ที่นั่ง เเละเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาทั่วประเทศ และยังมีการเลือกตัวแทนประจำดินแดนต่างๆ ของสหรัฐฯ ด้วย
เท่าที่ผ่านมาในอดีต พรรคฝ่ายค้านมักได้คะเเนนเสียงเพิ่มขึ้นในระดับที่ต่างกันในช่วงการเลือกตั้งกลางเทอม
ขณะที่รีพับลิกันมีที่นั่งในวุฒิสภาเทียบกับเดโมเครตที่ 51 ต่อ 49 ที่นั่ง อาจดูเหมือนว่าเดโมเครตมีโอกาสสูงในการครองเสียงข้างมากหลังการเลือกตั้งกลางเทอม
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ตัวเลขที่นั่งที่ต้องชิงชัยกันไม่เข้าข้างพรรคเดโมเครตนัก เพราะทางพรรคจะต้องคงที่นั่งของตนในวุฒิสภา 26 ที่นั่งจากตำแหน่งที่ต้องแข่งขันกัน 35 ที่นั่งเอาไว้ให้ได้ เมื่อเทียบกับพรรครีพับลิกันที่ 9 ที่นั่งเท่านั้น
และนี่ทำให้เดโมเครตต้องชนะการเลือกตั้งวุฒิสภาถึง 4 ใน 5 ทั้งประเทศหรือ 28 ที่นั่ง เพื่อให้ได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา
ความท้าทายนี้เพิ่มสูงขึ้นมากสำหรับเดโมเครตเพราะต้องพยายามยึดที่นั่งของตัวเเทนใน 10 รัฐที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปี 2016 โดยอย่างน้อย 3 รัฐ ที่ความนิยมของคนเอียงไปทางฝ่ายพรรครีพับลิกันมากกว่า
ดังนั้นหากเดโมเครตเสียที่นั่งในรัฐใดรัฐหนึ่งเหล่านี้ คือ อินเดียนา มิสซูรี มอนทานา นอร์ธดาโกตา เวสต์เวอร์จีเนีย โอไฮโอ ฟลอริดา วิสคอนซิน เพนซิลเวเนี ยเเละมิชิแกน โอกาสครองเสียงข้างมากในวุติสภาก็ลดลง
ส่วนในสภาผู้แทนราษฎร พรรครีพับลิกันได้เปรียบกว่าทางตัวเลขที่นั่ง แต่ความได้เปรียบนี้อาจจะมลายหายไป หากคนเทคะเเนนในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2018 นี้แก่พรรคเดโมเครต
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)