‘เมตา’ พบปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อจีนที่พุ่งเป้าไปที่การเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ

บริษัท เมตา (Meta Platforms) ซึ่งเป็นเจ้าของเฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) เปิดเผยในวันอังคารว่า ทีมงานเพิ่งตรวจพบปฏิบัติการใหม่ที่มีต้นกำเนิดในจีนและพุ่งเป้าไปยังผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ด้วยการนำเสนอข้อมูลด้านการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์

เมตา รายงานว่า ปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อนี้สร้างบัญชีผู้ใช้งานปลอมทั้งในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม รวมทั้งในทวิตเตอร์ (Twitter) ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง แต่พยายามทำให้บัญชีเหล่านั้นมีขนาดเล็กเพื่อจะไม่เป็นที่สนใจของผู้คนมากนั้น

รายงานของ เมตา ยังระบุด้วยว่า การค้นพบปฏิบัติการนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า มีความพยายามที่จะเข้ามาแทรกแซงโดยตรงในการเมืองสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

เบน นิมโม หัวหน้าทีมข่าวกรองตรวจสอบภัยคุกคามทั่วโลกของ เมตา ระบุว่า “ปฏิบัติการของจีนที่เราเคยจัดการลบไปก่อนหน้ามักชี้นำประเด็นของอเมริกาที่เชื่อมต่อไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของโลก โดยเฉพาะในเอเชียใต้ แต่ไม่ได้เป็นเรื่องของอเมริกาเสียทีเดียว” และว่าปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อที่ผ่านมามักนำเสนอ “ข้อความที่ว่า ‘อเมริกานั้นเลว จีนนั้นดี’” แต่ปฏิบัติการล่าสุดนั้นเน้นการส่งข้อความไปยังผู้สนับสนุนพรรคการเมืองภายในสหรัฐฯ ที่ตกอยู่ในภาวะแตกแยกอยู่ และหยิบยกประเด็นที่มีความเห็นต่างกันอย่างหนักอยู่ขึ้นมา เช่น สิทธิการทำแท้งและสิทธิ์ในการครอบครองปืน

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ เมตา อีกรายยอมรับว่า บริษัทไม่มีหลักฐานมากพอที่จะชี้ว่า ใครที่อยู่ในจีนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวที่ว่านี้

รอยเตอร์ อ้างข้อมูลจากรายงานของ เมตา และระบุว่า บัญชีผู้ใช้งานปลอดที่ว่านั้นโพสต์ปลอมตัวเป็นทั้งชาวอเมริกันหัวเสรีและหัวอนุรักษ์นิยมในรัฐต่าง ๆ และโพสต์มีม (Meme) รวมทั้งความเห็นจากโพสต์เก่า ๆ ของผู้มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว โดยตัวอย่างหนึ่งที่มีการหยิบยกขึ้นมาก็คือ บัญชีผู้ใช้งานปลอมบัญชีหนึ่ง ที่ไปเขียนความเห็นต่อโพสต์ในเฟซบุ๊กของ ส.ว.มาร์ค รูบิโอ สังกัดพรรครีพับลิกัน โดยเขียนขอให้ ส.ว.ผู้นี้หยุดความรุนแรงที่เกิดจากปืนและติดแฮชแท็ก #RubioChildrenKiller เป็นต้น

นอกจากนั้น รายงานชิ้นนี้ยังเปิดเผยว่า เมตา ได้ทำการขัดขวางปฏิบัติการหนึ่งที่มาจากรัสเซียและเชื่อว่ามีความซับซ้อนและมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนเมื่อกว่า 7 เดือนก่อน โดยอธิบายว่า เป็นเครือข่ายที่มีปฏิบัติการขยายทั่วเว็บไซต์และบัญชีผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์กว่า 60 แห่งเลยทีเดียว

• ที่มา: รอยเตอร์