กระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษประกาศเตือนภัยขั้นสูงสำหรับการระบาดของโควิด-19 ในกรุงลอนดอน โดยเพิ่มการเตือนภัยเป็นระดับ 2 จาก 3 ระดับ ในขณะที่อัตราการติดเชื้อในกรุงลอนดอนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1 ใน 1,000 คน
การประกาศเตือนภัยขั้นสูงนี้หมายความว่า ประชากรในกรุงลอนดอนราว 9 ล้านคนจะต้องเผชิญมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดกว่าเดิม เริ่มตั้งแต่วันศุกร์นี้ ซึ่งรวมถึงการห้ามรวมกลุ่มภายในอาคารของสมาชิกคนละครอบครัว และห้ามรวมกลุ่มกลางแจ้งเกิน 6 คน
รัฐมนตรีสาธารณสุขอังกฤษ แมตต์ แฮนค็อก ประกาศมาตรการดังกล่าวในวันพฤหัสบดี โดยระบุว่าเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะช่วยปกป้องชีวิตของผู้คนและยังสามารถดำเนินกิจกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันได้ และหากล่าช้าออกไปจะส่งผลกระทบร้ายแรงเศรษฐกิจและทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย
ด้านนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน ซาดี๊ก คาน กล่าวต่อสภากรุงลอนดอนในวันพฤหัสบดีว่า การต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ในลอนดอนได้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาวิกฤติแล้ว ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู โรงพยาบาลต่าง ๆ ไม่มีกำลังเพียงพอรองรับผู้ป่วย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่าอีกไม่นานจะมีการประกาศเตือนภัยขั้นสูงสุด
นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนยังประกาศสนับสนุนมาตรการล็อคดาวน์แบบเด็ดขาดทั่วประเทศที่เรียกว่า "มาตรการตัดวงจร" เป็นเวลาสามสัปดาห์ ซึ่งเสนอโดยองค์กรที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ในกรณีฉุกเฉิน หรือ SAGE ของอังกฤษ และได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าพรรคแรงงาน เคียร์ สตาร์เมอร์ โดยเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยรักษาชีวิตประชาชนได้หลายพันคน และทำให้การระบาดกลับสู่ภาวะที่สามารถควบคุมได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน ยังคงปฏิเสธที่จะใช้มาตรการนี้ โดยให้เหตุผลว่าจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศมากเกินไป
ณ วันพฤหัสบดี ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของยุโรประบุว่า อังกฤษมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 670,000 คน และเสียชีวิตกว่า 43,000 คน ซึ่งมากที่สุดในยุโรป