รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน ฮานนา มาลีอา กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า รัสเซียโจมตีทำลายเขื่อนคาคอฟกาจนก่อให้เกิดวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการป้องกันการโจมตีโต้กลับของกองทัพยูเครนในเขตปกครองเคอร์ซอนทางภาคใต้
รัฐมนตรีมาลีอา ระบุทางเทเลแกรมว่า "การทำลายเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟกา เกิดจากการที่บรรดาผู้นำรัสเซียพยายามทำให้กองทัพยูเครนต้องใช้กำลังพลและทรัพยากรไปใช้กับการรับมือวิกฤตอุทกภัยที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถเดินหน้าภารกิจปลดปล่อยดินแดนทางฝั่งตะวันตกของเคอร์ซอนซึ่งถูกรัสเซียยึดครองไปได้"
รัฐมนตรีช่วยกลาโหมยูเครนชี้ด้วยว่า การโจมตีเขื่อนดังกล่าวช่วยให้รัสเซียสามารถส่งกำลังสำรองจากพื้นที่เคอร์ซอนไปสมทบที่เมืองซาปอริซห์เซียและเมืองบาคห์มุตที่กำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด ในขณะที่ ยูเครนยังไม่สามารถส่งกำลังเสริมเข้าไปในเคอร์ซอนได้
ทั้งนี้ การโจมตีเขื่อนคาคอฟกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในเมืองและหมู่บ้านบริเวณนั้น ประชาชนจำนวนมากยังคงติดอยู่ในเขตน้ำท่วม โดยทั้งยูเครนและรัสเซียต่างกล่าวหากันและกันว่าเป็นผู้โจมตีทำลายเขื่อน
กระทรวงกลาโหมอังกฤษเปิดเผยรายงานข่าวกรองในวันอาทิตย์ว่า ประชาชนจำนวนมากทั้งชาวรัสเซียและยูเครนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดนิโปรกำลังประสบความยากลำบากอย่างยิ่ง พวกเขาเผชิญวิกฤตด้านสุขอนามัย ไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มสะอาด และมีความเสี่ยงต่อโรคระบาดที่มากับน้ำ
ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ทวีตในวันอาทิตย์ว่า รัฐบาลยูเครนจะทำทุกวิถีทางเพื่อรับรองว่าประชาชนทุกคนจะได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ แม้แต่ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ พร้อมระบุว่า สิ่งที่รัสเซียทำในขณะนี้คือการก่อการร้ายที่มุ่งเน้นสร้างความเจ็บปวดให้ประชาชน การข่มขู่คุกคามและการทำลายล้าง
มาร์ติน กริฟฟิธส์ รองเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า เวลานี้มีประชาชนอย่างน้อย 700,000 คนที่ต้องการน้ำดื่มสะอาดอย่างเร่งด่วน และสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในยูเครนยิ่งเลวร้ายลงอย่างมากนับตั้งแต่เหตุการณ์เขื่อนแตก นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่วิกฤตด้านอาหารโลกอีกครั้งเนื่องจากพื้นที่การเกษตรจำนวนมากในยูเครนถูกทำลายเพราะน้ำท่วม
ยูจีน ซิโมนอฟ นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมแห่งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Ukraine War Environmental Consequences Working Group (UWEC) กล่าวว่า ผลกระทบในระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมเพราะเหตุการณ์นี้จะดำรงอยู่หลายชั่วอายุคน
สถานการณ์ในสมรภูมิ
ในวันอาทิตย์ ทหารยูเครนรายงานว่า สามารถยึดหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้คืนมาจากรัสเซียได้แล้ว ซึ่งถือเป็นการปลดปล่อยชุมชนแห่งแรกจากการยึดครองของรัสเซียนับตั้งแต่ยูเครนเริ่มปฏิบัติการโจมตีโต้กลับ
วาเลรี เชอร์เชน โฆษกของกลุ่มทหารยูเครน กล่าวทางโทรทัศน์ในวันอาทิตย์ว่า "เราเห็นผลลัพธ์ครั้งแรกของปฏิบัติการโจมตีโต้กลับแล้ว" โดยภาพจากวิดีโอที่เผยแพร่โดยทหารยูเครนแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แสดงให้เห็นทหารโบกธงยูเครนเหนืออาคารที่เสียหายอย่างหนักที่หมู่บ้านบลาโฮดาตเน
โฆษกผู้นี้ระบุว่า หมู่บ้านดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตปกครองดอแนตสก์ ใกล้กับเขตปกครองซาปอริห์เชีย
ขณะเดียวกัน สื่อของทางการรัสเซียอ้างว่าระบบป้องกันตนเองทางอากาศของรัสเซียสามารถทำลายขีปนาวุธจากยูเครนได้หนึ่งลำใกล้เมืองท่าเบอร์ดีแอนสก์ซึ่งรัสเซียครอบครองอยู่ นอกจากนี้ รัสเซียยังรายงานว่า ได้ทำลายรถถังเลพเพิร์ดที่ผลิตในเยอรมนี อย่างน้อย 7 คัน และยานพาหนะหุ้มเกราะแบรดลีย์ที่ผลิตในสหรัฐฯ 5 คัน ในช่วง 48 ชม.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ทางรอยเตอร์ยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของรายงานจากทั้งสองฝ่าย
- ข้อมูลบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์