ประธานาธิบดีคาซัคสถาน คาสซิม-โจมาร์ต โทคาเยฟ กล่าวในวันอังคารว่า กองกำลังความมั่นคงที่นำโดยรัสเซียจะเริ่มถอนกำลังออกจากคาซัคสถานแล้ว หลังจากสิ้นสุดภารกิจช่วยควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
กองกำลังดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจรักษาสันติภาพขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม (Collective Security Treaty Organization - CSTO) ซึ่งเป็นรวมตัวกันของรัสเซียกับประเทศที่เคยอยู่ในสหภาพโซเวียต 5 ประเทศ ได้แก่ อาร์เมเนีย เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน
ปธน.โทคาเยฟ ขอให้ CSTO ส่งกองกำลังดังกล่าวเข้าไปในคาซัคสถาน ในขณะที่กำลังเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ซึ่งผู้นำคาซัคสถานกล่าวหาว่ามี "ผู้ก่อการร้าย" ที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติอยู่เบื้องหลัง
การประท้วงดังกล่าวปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 2 มกราคมทางภาตะวันตกของประเทศ เพื่อต่อต้านปัญหาราคาเชื้อเพลิงแพงขึ้น ก่อนที่จะลุกลามไปเป็นการลุกฮือประท้วงรัฐบาล นำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่คาซัคสถานแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตเมื่อปี ค.ศ. 1991
มีรายงานผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงทางการเมืองครั้งนี้หลายสิบคนทั้งในฝั่งผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่รักษากฏหมาย โดยผู้ประท้วงจุดไฟเผาอาคารที่ทำการของเทศบาลเมืองอัลมาตี อดีตเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของคาซัคสถาน และยึดสนามบินแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกกองกำลังความมั่นคงสลายการประท้วงในเวลาต่อมา
ปธน.โทคาเยฟ กล่าวต่อคณะรัฐบาลและรัฐสภาคาซัคสถานในวันอังคารว่า "กองกำลังรักษาสันติภาพของ CSTO ได้ปฏิบัติภารกิจหลักลุล่วงแล้ว และกระบวนการถอนกำลังทหารจะเริ่มขึ้นภายในเวลาสองวัน และจะเสร็จสิ้นในเวลาไม่เกินสิบวัน"
นอกจากนี้ ปธน.โทคาเยฟ ยังได้ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือนายอาลีคาน สไมลอฟ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการปลดรัฐบาลทั้งชุดตามข้อเรียกร้องของผู้ประท้วง รวมทั้งมีการประกาศจำกัดราคาเชื้อเพลิงไม่ให้สูงเกินไปเป็นเวลา 180 วัน และสั่งปลดอดีตประธานาธิบดี นูร์สุลต่าน นาซาร์บาเยฟ จากตำแหน่งประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติของคาซัคสถานด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลคาซัคสถานรายงานว่า มีการจับกุมผู้ก่อความไม่สงบไปแล้ว 9,900 คน และได้เริ่มกระบวนการสืบสวนทางอาญา 338 คดีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางการเมืองในครั้งนี้ด้วย
- ข้อมูลบางส่วนจากสำนักข่าวเอพี และเอเอฟพี