เจฟฟ์ เบโซส มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก และซีอีโอ ของ แอมะซอน แสดงจุดยืนสนับสนุนข้อเสนอของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อนำรายได้ไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
เบโซส โพสต์ข้อความในบล็อกแห่งหนึ่งที่ยืนยันการสนับสนุนแผนงานของรัฐบาลไบเดนที่จะลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ซึ่งทางบริษัทตระหนักดีว่า เป็นโครงการที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
แอมะซอน ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า ทำการจ่ายภาษีให้แก่รัฐเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่เสียภาษีเลย
อย่างไรก็ตาม ในการแสดงจุดยืนสนับสนุนแผนปรับขึ้นอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลนี้ เบโซส ไม่ได้ระบุตัวเลขอัตราภาษีที่ตนเห็นด้วย โดยปธน.ไบเดน ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะเสนอให้ปรับอัตราภาษีรายได้นิติบุคคล จากร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 28 และให้มีการทบทวนกฎหมายภาษีเพื่อปิดช่องโหว่ต่างๆ ที่ทำให้บริษัททั้งหลายสามารถหลีกเลี่ยงภาษีมาได้ตลอดด้วย
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปธน.ไบเดน กล่าวว่า แอมะซอน คือ หนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 91 แห่ง ที่ “ใช้ช่องว่างต่างๆ เพื่อให้ตนไม่ต้องเสียภาษีรายได้ให้รัฐบาลแม้แต่เพนนีเดียว” ขณะที่ ครอบครัวชนชั้นกลางทั้งหลายต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 20 อยู่
รายงานข่าวระบุว่า แอมะซอน ไม่ได้ต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับรัฐบาลกลางในปี 2017 หรือ 2018 บริษัทแห่งนี้รายงานว่า มีภาระที่ต้องชำระภาษีให้กับรัฐอยู่ราว 162 ล้านดอลลาร์ สำหรับรายงานภาษีประจำปี 2019 และ ประมาณ 1,835 ล้านดอลลาร์ สำหรับรายงานภาษีปี 2020
เมื่อเดือนที่แล้ว หอการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มตัวแทนภาคธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ กล่าวว่า ข้อเสนอปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลของปธน.ไบเดนนั้น “เป็นการดำเนินไปในทิศทางผิดๆ ที่อันตรายยิ่ง” และเตือนว่า แผนการนี้อาจ “ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัวลง และทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกได้”