ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เปิดตัวแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มีจุดประสงค์ปรับทิศทางและส่งเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพื่อแซงหน้าจีนให้ได้
การประกาศแผนลงทุนครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ นี้มีออกมาในวันพุธตามเวลาท้องถิ่น หลังจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า โครงการนี้จะมุ่งซ่อมแซมถนนทั่วประเทศเป็นระยะทาง 32,000 กิโลเมตร สะพานที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ 10 แห่ง และสะพานเล็กๆ อีกราว 10,000 จุด รวมทั้ง กำจัดท่อตะกั่วในโครงข่ายบริการน้ำประปาที่เป็นอันตรายสำหรับผู้ใช้งานให้หมดสิ้น และยกระดับเครือข่ายการจ่ายไฟฟ้า ระบบบรอดแบนด์คอมพิวเตอร์ และระบบขนส่งครั้งใหญ่ด้วย
ปธน.ไบเดน ประกาศรายละเอียดแผนการลงทุนมูลค่าสูงนี้ ขณะเยือนเมืองพิตส์เบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญเมืองหนึ่งในภาคพื้นตะวันออกของประเทศ และเป็นพื้นที่รัฐสมรภูมิในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตสามารถเอาชนะอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มาได้
และหลังจากสามารถผลักดันกฎหมายความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ผ่านรัฐสภาที่สมาชิกพรรครีพับลิกันพยายามคัดค้านมาได้ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันมุ่งมั่นที่จะผ่านร่างกฎหมายใหม่นี้ให้ออกมาเป็นรูปธรรมให้ได้ โดยทำเนียบขาวระบุว่า “สหรัฐฯ คือประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานกลับถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก” และว่า “หลังจากหลายทศวรรษของการลดการลงทุน(โดยรัฐ) ถนนหนทาง สะพาน และระบบประปาของประเทศเริ่มทรุดโทรม ขณะที่ เครือข่ายการจ่ายไฟฟ้านั้นเริ่มย่ำแย่ลงจนเกิดเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่จนสร้างความหายนะมาแล้ว และประชาชนจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในราคาที่สมเหตุสมผล รวมทั้งที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพได้เลย”
ผู้สื่อข่าวอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวรายหนึ่งและรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ วางแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ในช่วง 8 ปีจากนี้
ในส่วนของที่มาของเงินลงทุนก้อนนี้ ปธน.ไบเดน เสนอว่าให้จัดหามาจากรายได้ภาษีธุรกิจที่จะปรับขึ้นจากอัตราร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 28 ขณะที่ เจน ซากิ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวเมื่อวันพุธว่า ทางรัฐบาลยังคงเปิดรับแนวความคิดอื่นๆ เกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนมาสนับสนุนโครงการต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส ที่มักสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐสำหรับโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ดูแลของตนนั้น กลับแสดงท่าทีคัดค้านแผนการของปธน.ไบเดน ที่จะปรับขึ้นภาษี โดยอ้างว่า การกระทำดังกล่าวจะทำให้คนทำงานรับจ้างในประเทศเดือดร้อน และอาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลง ทั้งยังอาจส่งผลให้ธุรกิจสัญชาติอเมริกันสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้