อากาศที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย เกิดมลพิษขั้นรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค่ามลพิษทางอากาศแตะระดับสูงสุดเป็นสถิติใหม่ จนประชาชน 31 รายยื่นฟ้องทางการเพื่อให้มีการจัดการกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน
อิสตู ปราโยกี หนึ่งในผู้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม กล่าวว่า อาการปวดศีรษะและหายใจไม่สะดวกของตนเกิดจากมลพิษทางอากาศ
เขาบอกว่าแพทย์ให้เขาสวมหน้ากากกรองอากาศตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความไม่สะดวก เขาเชื่อว่าคนจำนวนมากน่าจะมีความรู้สึกแบบเดียวกันและเจอปัญหาสุขภาพเช่นเดียวกับเขา
เขากล่าวว่า รัฐบาลกรุงจาการ์ตาแทบไม่ได้ทำอะไรเลยกับมลพิษของนครหลวงแห่งนี้
อะยู เอซา เทียรา ตัวแทนขององค์กรให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในคดีนี้ Jakarta Legal Aid Institute กล่าวว่า ความตั้งในของการเดินเรื่องในครั้งนี้ คือการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อนโยบายสาธารณะเพื่อให้เกิดผลที่จับต้องได้
เธอกล่าวว่า รัฐบาลควรให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ และสถานการณ์มลพิษที่กำลังเกิดขึ้น กลุ่มของเธอรอคอยการทำงานของรัฐเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ แต่เมื่อไม่เห็นความคืบหน้า จึงดำเนินการทางกฎหมายขึ้น ซึ่งน่าจะใช้เวลาหลายเดือน
หลังจากที่ถูกประชาชนกลุ่มนี้ฟ้องร้อง ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา เอนีส์ บาสวีดาน (Anies Baswedan) กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กรุงจาการ์ตาเป็นเมืองที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคัก และมลพิษทางอากาศเป็นผลพวงจากกิจกรรมดังกล่าว
เขาบอกว่าทางการได้เร่งเร้าให้ประชาชนลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัว และให้หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทน
ทั้งนี้เมืองหลวงของอินโดนีเซียแห่งนี้เป็นมหานครที่มีประชาชนอาศัยอยู่กว่า 10 ล้านคน และมียานพาหนะทั้งรถและจักรยานยนต์รวม 18 ล้านคัน
หน่วยงาน Forum for the Environment ผู้ร่วมฟ้องทางการจาการ์ตา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐควรจัดทำรายชื่อแหล่งที่มาของมลพิษทางอากาศ และควรมีการบังคับเรื่องการทดสอบการปล่อยก๊าสเรือนกระจกอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ผู้แทนขององค์กรดังกล่าวโซเลห์ อามาดี กล่าวว่า ทางการกรุงจาการ์ตาควรนำตัวเลขสถิตมาเป็นฐานข้อมูลสำหรับการวางนโยบาย เพราะที่ผ่านมา 20 ปี กฎหมายแทบไม่ได้รับการปรับแก้ และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มาตรฐานคุณภาพอากาศที่เมืองหลวงของอินโดนีเซียแห่งนี้ต่ำเกินไป
(รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของ Amanda Sddharta ที่กรุงจาการ์ตา)