นายกรัฐมนตรี Narendra Modi กล่าวว่า อินเดียมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นชื่อเสียงที่ไม่อยากจะรักษาไว้ และเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติผู้ผลิตอาวุธ ปรับเปลี่ยนจากผู้ขายมาเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
เป็นที่คาดกันว่าในช่วงสิบปีข้างหน้า อินเดียจะใช้จ่ายเงินซื้ออาวุธเป็นมูลค่าราวๆ สองแสนห้าหมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 60% ของงบประมาณการซื้ออาวุธ และผู้นำของอินเดียตั้งเป้าไว้ว่าจะลดการซื้ออาวุธลงให้เหลือ 30%
ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา บริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนผลิตอาวุธในอินเดียคิดเป็นมูลค่าไม่ถึง 5 พันล้านดอลลาร์
นายกรัฐมนตรี Narendra Modi มีถ้อยแถลงดังกล่าวออกมาในขณะที่มีผู้ผลิตอาวุธต่างชาติมากกว่า 300 รายจากกว่า 30 ประเทศ เข้าร่วมนิทรรศการ Aero India Show ในนคร Bangalore
พลอากาศตรี Manmohan Baradur ซึ่งปลดเกษียณแล้ว และเวลานี้เป็นนักวิเคราะห์ของ Center for Air Power Studies ในกรุง New Delhi ให้ความเห็นว่า พื้นฐานการผลิตอาวุธของรัฐบาลมีจำกัดมาก เพราะฉะนั้น ภาคเอกชนจะต้องเข้าไปมีบทบาทมากทีเดียว
นักวิเคราะห์ผู้นี้เชื่อว่า ธุรกิจเอกชนใหญ่ๆ เช่น ของครอบครัว Tata, Mahindra และคนอื่นๆ จะสามารถจัดการกับปัญหา hi-tech ได้
แต่แม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่มส่วนแบ่งการลงทุนของบริษัทต่างชาติจากเดิม 26% เป็น 49% เพื่อเป็นการจูงใจ นักวิเคราะห์คนอื่นๆ ไม่คิดว่า อินเดียจะลดการพึ่งพาอาศัยการนำเข้าได้มากอย่างที่คิด เพราะนอกจากจะขาดแคลนแรงงานฝีมือแล้ว พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีของอินเดียยังไม่สูงพอที่จะรับการถ่ายโอนเทคโนโลยีสำหรับระบบอาวุธก้าวหน้าได้
ขณะเดียวกัน Rahul Bedi ของนิตยสาร Jane’s Defense Weekly ในกรุง New Delhi กล่าวว่า การสร้างอุตสาหกรรมสำหรับการป้องกันประเทศต้องใช้เวลานานหลายปีทีเดียว และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะไม่มีบริษัทที่ไหนในโลกที่จะเต็มใจถ่ายโอนเทคโนโลยีให้ โดยไม่ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตน เพราะฉะนั้น การจำกัดการลงทุนของต่างชาติไว้ที่ 49% จะไม่ทำให้มีคนสนใจไปลงทุนมากนักในเมื่ออินเดียเป็นผู้ควบคุม
แต่แม้จะมีอุปสรรคหลายเรื่องรออยู่ข้างหน้า นักวิเคราะห์ลงความเห็นว่า ความพยายามของรัฐบาลอินเดียในเรื่องนี้เป็นการเดินหน้าที่ถูกทิศทาง เพราะประเทศที่ต้องการจะขยายบทบาททางยุทธศาสตร์ในเวทีโลก จะต้องมีกองทัพที่พึ่งตนเองได้ทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์