การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของคนเราหลายต่อหลายอย่าง ตั้งแต่วิธีการทักทายเพื่อน ไปจนถึงวิธีการทำงาน
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และทำให้เกิดมีคำถามขึ้นมาว่า พฤติกรรมหรือวัฒนธรรมใดบ้างที่จะยังคงหลงเหลืออยู่หลังจากที่โรคระบาดใหญ่จบสิ้นลง?
Barun Mathema แพทย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา ซึ่งศึกษาการแพร่กระจายและการควบคุมโรคแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียก็ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้ เขาบอกกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าผู้คนอาจจะเก็บพฤติกรรมบางอย่างเอาไว้เมื่อโรคระบาดสิ้นสุดลง
ทั้งนี้เป็นเรื่องปกติของในหลายๆ ประเทศที่ผู้คนจะสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดโรคระบาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ในเอเชียตะวันออกที่สวมหน้ากากอนามัยกันเป็นปกติตั้งแต่มีการระบาดของโรค SARS หรือการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546
อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีประเพณีการสวมใส่หน้ากากในสหรัฐฯ หากคุณเห็นคนสวมใส่หน้ากากในที่สาธารณะในประเทศนี้เมื่อปีที่แล้ว คุณอาจคิดว่าคนเหล่านั้นถ้าไม่ป่วยก็เป็นคนแปลก
แต่ในปัจจุบันนี้ การสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 37 รัฐรวมทั้งกรุงวอชิงตันและ Puerto Rico ออกนโยบายให้ประชาชนสวมหน้ากากในที่สาธารณะ
แต่นิสัยการสวมหน้ากากในที่สาธารณะนี้จะยังคงอยู่หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลงหรือไม่?
Boris Lushniak หัวหน้าภาควิชาสาธารณสุขศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ให้คำตอบว่า ชาวอเมริกันมีแนวโน้มว่าจะสวมหน้ากากในฤดูหนาวนี้ เพื่อป้องกันการป่วยเป็นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ แต่เขาไม่คิดว่าการสวมหน้ากากจะกลายเป็นความเคยชินของคนทั่วประเทศ เพราะการที่จะให้คนบางคนสวมหน้ากากในช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่นั้น ก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว
ศาสตราจารย์ Lushniak กล่าวต่อไปว่า ธรรมเนียมในการจับมือทักทายก็จะลดลง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และคาดว่าผู้คนน่าจะเลือกที่จะโบกมือทักทายหรือใช้วิธีการทักทายแบบอื่นๆ มากกว่า
Aaron Glatt โฆษกของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา กล่าวว่า โดยรวมแล้วชาวอเมริกันอาจจะสัมผัสตัวผู้อื่นกันน้อยลง และการสัมผัสตัวเพื่อนฝูงรวมทั้งเพื่อนร่วมงานก็จะลดน้อยลงไปด้วย
นอกจากนี้แล้ว ผลกระทบที่ยั่งยืนอีกประการหนึ่ง ก็คือเรื่องของระดับความสะอาดที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Mathema จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กล่าวว่า นิสัยด้านสุขอนามัยบางอย่าง เช่น การล้างมือบ่อยๆ และการทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ มีแนวโน้มที่จะคงอยู่ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายนี้
อย่างไรก็ดี บางธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการบริการ เช่น สายการบิน ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ
ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงคือการที่หลายๆ บริษัทปฏิบัติ เพื่อลดการสัมผัสลงในช่วงที่มีโรคระบาด ได้แก่ การเซ็นชื่อในใบเสร็จรับเงินเมื่อซื้อสินค้าหรืออาหารก็ลดลง และสายการบินต่างๆ มีกฎใหม่ให้ฆ่าเชื้อบนพื้นผิวและอากาศภายในเครื่องบิน เป็นต้น
ศาสตราจารย์ Lushniak จากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ กล่าวกับวีโอเอว่า สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าในช่วงหลังการเกิดโรคระบาดใหญ่ ก็คือการเปลี่ยนแปลงของบริษัทธุรกิจต่างๆ และการที่เราได้เรียนรู้แล้วว่าการรักษาความสะอาดและการฆ่าเชื้อโรค เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะทำต่อไปแม้โรคระบาดจะทุเลาเบาบางลงแล้วก็ตาม
ส่วนผลกระทบระยะยาวอีกประการหนึ่งของการเกิดโรคระบาดใหญ่นี้ คือการที่อาจจะมีผู้คนทำงานจากบ้านกันมากขึ้น และตัดสินใจอยู่กับบ้านเมื่อมีอาการเจ็บป่วยขึ้นมาหลังจากนี้
ศาสตราจารย์ Lushniak กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเกิดโรคระบาดใหญ่สร้างโอกาสในการทำงานออนไลน์มากขึ้น หากคนไม่สบายก็สามารถทำงานจากที่บ้านได้ และว่าการทำงานจากที่บ้าน อาจเป็นส่วนสำคัญในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคนี้ก็เป็นได้