ลิ้งค์เชื่อมต่อ

‘แฮร์ริส-ทรัมป์’ เร่งดึงคะแนนผู้มีสิทธิ์ที่ยังไม่ตัดสินใจ


แฟ้มภาพ - รองปธน.คามาลา แฮร์ริส เมื่อ 7 ส.ค. 2567 และ อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 31 ก.ค. 2567
แฟ้มภาพ - รองปธน.คามาลา แฮร์ริส เมื่อ 7 ส.ค. 2567 และ อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 31 ก.ค. 2567

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนการเปิดคูหาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ด้วยการพยายามเข้าหาและดึงคะแนนเสียงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิ์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร เพื่อช่วยรับประกันว่า ตนจะเป็นฝ่ายมีชัยในครั้งนี้

ในวันอาทิตย์ แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต เดินทางไปยังเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของประเทศและเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรค เพื่อกระตุ้นแรงสนับสนุนในพื้นที่รัฐสมรภูมิสำคัญแห่งนี้

รัฐนี้เป็น 1 ใน 7 รัฐที่เป็นจุดที่มีการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดระหว่างสองผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปีนี้ โดยทั้งแฮร์ริส และทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน เดินทางไปยังเพนซิลเวเนียกันบ่อยครั้ง และมีแผนที่จะไปหาเสียงเพิ่มขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ด้วย

ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ รองประธานาธิบดีหญิงของสหรัฐฯ เดินทางไปร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ก่อนจะตระเวนแวะตามจุดต่าง ๆ ตั้งแต่ร้านตัดผม ไปจนถึงร้านอาหารแบบเปอร์โตริโกและสนามกีฬาบาสเกตบอลสำหรับเยาวชน

ส่วนทรัมป์เลือกจัดการหาเสียงที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ซึ่งเป็นสนามกีฬาในร่มอเนกประสงค์ของนครนิวยอร์ก

ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์แทบไม่มีโอกาสชนะในรัฐนิวยอร์กที่เป็นรัฐบ้านเกิดนี้เลย โดยในการเลือกตั้งปี 2020 นั้น ทรัมป์ได้คะแนนเสียงไป 40%

ถึงกระนั้น อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ก็ยังตัดสินใจจัดกิจกรรมที่สนามกีฬาในร่มความจุ 19,000 ที่นั่งนี้ และผู้สนับสนุนบางส่วนก็มาเข้าแถวรอเข้าตั้งแต่เช้าวันเสาร์ หรือก่อนงานเริ่มถึงกว่า 24 ชั่วโมง

รองปธน.คามาลา แฮร์ริส แวะร้านตัดผม Philly Cuts ระหว่างการหาเสียงที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ในวันที่ 27 ต.ค. 2567
รองปธน.คามาลา แฮร์ริส แวะร้านตัดผม Philly Cuts ระหว่างการหาเสียงที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ในวันที่ 27 ต.ค. 2567

ในวันอังคาร แฮร์ริสมีแผนจะจัดการหาเสียงที่สวน Ellipse นอกทำเนียบขาว ที่กรุงวอชิงตัน โดยหวังที่จะแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ตรงกันข้ามกับทรัมป์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดนี้ทรัมป์ขึ้นเวทีเมื่อวันที่ 6 มกราคม ปี 2021 และเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตนเดินทางไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อ “สู้ให้ตายไปข้างหนึ่ง” (fight like hell) และหยุดกระบวนการของสภาคองเกรสเพื่อลงมติรับรอง โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครตในฐานะผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์จลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน

ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้ชุมนุมประท้วงกว่า 1,500 คนถูกจับกุมจากการร่วมก่อเหตุจลาจล และมีเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย 140 คนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ ผู้ชุมนุมยังได้ก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของอาคารรัฐสภาเป็นมูลค่าถึง 2.9 ล้านดอลลาร์ด้วย

หลังการดำเนินคดีผู้ก่อเหตุในครั้งนี้จบลง มีผู้ร่วมเหตุการณ์จลาจลกว่า 1,000 คนถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาต่าง ๆ โดยมีผู้ถูกลงโทษสูงสุดด้วยการจำคุกหลายปี

ทั้งนี้ ทรัม์ประกาศไว้ว่า หากตนเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้ง ก็จะประกาศอภัยโทษบุคคลเหล่านี้

ภาพของ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ บนจอกลางสนามกีฬาในร่ม เมดิสันสแควร์การ์เดน นครนิวยอร์ก เมื่อ 27 ต.ค.
ภาพของ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ บนจอกลางสนามกีฬาในร่ม เมดิสันสแควร์การ์เดน นครนิวยอร์ก เมื่อ 27 ต.ค.

ข้อมูลจาก Election Lab ของมหาวิทยาลัยฟลอริดาระบุว่า มีชาวอเมริกันกว่า 41 ล้านคนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปแล้ว ทั้งโดยตัวเองและทางไปรษณีย์ โดยตัวเลขนี้อาจคิดเป็น 1 ใน 4 ของคะแนนเสียงที่จะเกิดขึ้นในปีนี้

การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าของสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อไปในหลายรัฐในสัปดาห์นี้

สถิติในปี 2020 ชี้ว่า มีชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิ์กว่า 155 ล้านคน โดย 1 ใน 3 นั้นเป็นการลงคะแนนด้วยตนเองในวันเลือกตั้ง

ผลสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองหลายชิ้นชี้ว่า การเลือกตั้งปี 2024 นี้เป็นการชิงชัยที่มีความสูสีคู่คี่อย่างมาก และผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายต่างก็เลือกจะฟังและอ้างผลสำรวจที่นำเสนอผู้แทนของตนว่าเป็นผู้มีคะแนนนิยมนำอยู่

การสำรวจของหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ และ เดอะ วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งเป็นรายงานที่มีชื่อเสียงที่สุด ระบุว่า แฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์เพียงเล็กน้อยใน 4 รัฐสมรภูมิ จากทั้งหมด 7 รัฐ ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปสู่ชัยชนะของเธอหากผลการนับคะแนนเสียงออกมาตรงตามการสำรวจนี้จริง

แต่การสำรวจโดยสถานีโทรทัศน์ เอบีซี นิวส์ ชี้ว่า ทรัมป์คือ ผู้ที่กำลังได้เปรียบอยู่ เช่นเดียวกับในรายงานของ Realclearpolitics.com

ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นไม่ได้ตัดสินกันที่คะแนนความนิยมของผู้มีสิทธิ์ แต่ด้วยคะแนนของคณะผู้แทนเลือกตั้งประธานาธิบดี (electoral vote) จาก 50 รัฐ โดย 48 รัฐจะประกาศว่า ผู้ที่ได้คะแนนเสียงดังกล่าวของรัฐไปคือผู้ชนะการเลือกตั้ง แต่รัฐเนบราสกาและรัฐเมนมีระบบที่ต่างออกไปโดยจะแยกคะแนนของแต่ละคนออกทั้งในการนับคะแนนเลือกตั้งระดับรัฐและการเลือกตั้งผู้แทนรัฐในสภาคองเกรส

คะแนนของคณะผู้แทนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นคิดคำนวณจากจำนวนประชากรของแต่ละรัฐ ดังนั้น รัฐที่มีประชากรมากที่สุดจึงมีคะแนนที่ว่ามากพอที่จะกำหนดว่า ใครคือผู้ชนะได้ โดยผู้มีชัยจะต้องได้คะแนนอย่างน้อย 270 เสียงจากทั้งหมด 538 เสียง

  • ที่มา: เอพี

กระดานความเห็น

XS
SM
MD
LG