ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจถาโถม หลายคนอาจเริ่มรัดเข็มขัดประหยัดกันมากขึ้นกับสินค้าต่าง ๆ แต่ภาคธุรกิจยังหาโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ในการผลักดันผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมเพื่อเอาใจกลุ่มผู้บริโภคกระเป๋าหนักได้
บริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้ผลิตยาสีฟันไปจนถึงร้านค้าขายสินค้าลดราคา กำลังหาสินค้าพรีเมี่ยมมาขายมากขึ้น อย่างเช่น ครีมบำรุงผิวกายจากแบรนด์ดีไซเนอร์ ตลอดจนบริการต่าง ๆ เพื่อที่จะเข้าถึงบรรดานักช้อปที่ร่ำรวยซึ่งยังคงใช้จ่ายอย่างอิสระ แม้ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ผันผวนก็ตาม
บรรดาผู้ค้าปลีกและบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคเชื่อว่ามีเหตุผลสมควรในการขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนที่สูงขึ้นจากปัญหาเรื่องห่วงโซ่อุปทานและสงครามที่รัสเซียส่งทหารบุกยูเครนเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อความกดดันทางการเงินผ่อนคลายลงไป บางบริษัทก็มองหาวิธีใหม่ ๆ ในการเพิ่มยอดขายและผลกำไรโดยมุ่งเน้นไปที่สินค้าพรีเมี่ยมท่ามกลางยอดขายโดยรวมที่ชะลอตัว
มาร์แชล โคเฮน (Marshal Cohen) หัวหน้าที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมของบริษัทวิจัยตลาด Circana กล่าวว่า “หากต้องการวางเดิมพันท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ก็ควรจะทำโดยการทำตลาดเอาใจผู้ที่มีรายได้สูง”
หลาย ๆ บริษัทที่ตามปกติจะรองรับผู้ซื้อที่มีรายได้ปานกลางกำลังปล่อยสินค้าพรีเมี่ยมจำนวนมากเพื่อพยายามดึงดูดผู้บริโภคที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้ แต่นั่นก็อาจทำให้ตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคที่มีเงินจับจ่ายใช้สอยเหลือน้อยลดน้อยลงไป
ตัวอย่างเช่นร้านค้า Walmart ที่มีครีมระดับไฮเอนด์ในราคา 90 ดอลลาร์บนชั้นวางขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามในบางสาขา ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศ Heinz เปิดตัวเครื่องปรุงรสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเชฟที่ใช้ชื่อว่า Heinz 57 รวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งผสมเห็ดทรัฟเฟิลดำขนาด 11.25 ออนซ์ซึ่งมีราคาประมาณ 7 ดอลลาร์ และปีที่แล้ว Colgate-Palmolive สร้างกระแสด้วยการประกาศเปิดตัวยาสีฟันขจัดคราบขนาด 3 ออนซ์ในราคาหลอดละ 10 ดอลลาร์ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ที่มียาสีฟันในราคาขนาดนี้ โดยจะสังเกตได้ว่าผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมจะเป็นสินค้าที่มีการขึ้นราคา
ในขณะเดียวกัน Five Below ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านค้าที่ขายของเล่นและสินค้าที่น่าสนใจอื่น ๆ ในราคา 5 ดอลลาร์หรือต่ำกว่านั้น กำลังสร้างต้นแบบร้านค้าภายในร้านใหม่ที่ใช้ชื่อว่า: Five Beyond ซึ่งขายสินค้าในราคา 6 ดอลลาร์ขึ้นไป เมื่อปีที่แล้ว แฟรนไชส์ร้านค้านี้ในรัฐเพนซิลเวเนียได้เปลี่ยนร้านค้า 250 แห่งจากทั้งหมด 1,300 แห่งให้มีส่วนของร้านที่ขายสินค้าที่ราคาสูงกว่า และวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงเพิ่มอีก 400 สาขาในปีนี้
โจเอล แอนเดอร์สัน (Joel Anderson) ซีอีโอของ Five Below กล่าวกับนักวิเคราะห์เมื่อเดือนมกราคมว่าผู้ที่ซื้อสินค้า Five Beyond มักจะซื้อสินค้ามากกว่าผู้ที่ซื้อสินค้าใน Five Below ถึงสองเท่า
นอกจากนี้ ร้านอาหารอย่าง Chipolte Mexican Grill ก็ได้ประกาศว่าพวกเขาพยายามดึงดูดนักช้อปที่ชอบของลดราคา เครือข่ายร้านอาหารแห่งนี้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาในปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการขึ้นราคาอาหารในร้านทำให้ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยไม่อยากเข้าร้านเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ทางร้านได้เปิดตัว Garlic Guajillo Steak ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้บริการในเวลาจำกัดซึ่งมีราคาสูงกว่าสเต็กทั่ว ๆ ไป
ในการประชุมกับนักลงทุนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ไบรอัน นิคโคล (Brian Niccol) ประธานและซีอีโอของ Chipotle กล่าวว่า Chipotle ขึ้นราคาอาหาร 13.5% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีลูกค้ารายได้สูงเข้ามาทานอาหารในร้านบ่อยขึ้น และว่า “เราตัดสินใจที่จะไม่เอาใจลูกค้าที่ชื่นชอบส่วนลด เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่แบรนด์ของเราต้องการจะทำ”
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่น ราคีน มาบุด (Rakeen Mabud) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ The Groundwork Collaborative ที่มีแนวคิดหัวก้าวหน้าเชื่อว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวรังแต่จะปิดกั้นคนที่ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ และว่า “ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มีราคาแพงขึ้น และบริษัทต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนที่ร่ำรวยกว่า ก็จะทำให้มีผู้คนที่ไม่สามารถซื้อหาผลิตภัณฑ์ที่ตนต้องการได้มากขึ้น”
- ที่มา: เอพี