เศรษฐกิจของประเทศอังกฤษยังทรุดตัวต่อเนื่อง ในเวลาที่คำสั่งปิดเมืองทั่วประเทศยังมีผลบังคับใช้และหนี้สาธารณะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้รัฐบาลต้องคิดหนักเกี่ยวกับทางออกที่จะผ่อนคลายมาตรการรับมือโควิด-19 ขณะที่เยอรมนีเตือน การลดระดับการควบคุมสถานการณ์ก่อนเวลาอันควรอาจส่งผลเสียใหญ่หลวง
นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยเนื่องจากการติดเชื้อโควิด-19 กำลังเผชิญหน้าแรงกดดันและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักการเมืองฝ่ายค้านและนักระบาดวิทยาบางราย เกี่ยวกับการที่รัฐบาลเริ่มลงมือทำการสู้การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ช้าเกินควร และบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเองก็มีปัญหาในการอธิบายกับประชาชนเกี่ยวกับตัวเลขการเสียชีวิตจากวิกฤตินี้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และภาวะขาดแคลนอุปกรณ์ทดสอบการติดเชื้อ และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลสำหรับบุคลากรทางการแพทย์
ผู้บริหารรายหนึ่งของธนาคารกลางอังกฤษ คาดการณ์ แม้ว่าหลังวิกฤติโควิด-19 จะผ่านพ้นไป อังกฤษคงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะฟื้นเศรษฐกิจได้ โดยระบุว่า เส้นกราฟการฟื้นตัวคงจะเป็นลักษณะของตัวอักษร U มากกว่า ตัวอักษร V ด้วย
ในเวลานี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักรมีแผนที่จะออกพันธบัตรมูลค่า 180,000 ล้านปอนด์ หรือ ราว 222,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนกรกฎาคม เพื่อมาใช้พยุงเศรษฐกิจ โดยตัวเลขนี้สูงกว่าที่วางแผนสำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน ขณะที่ตัวเลขหนี้ของประเทศพุ่งทะลุระดับ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว และตัวเลขการกู้ยืมสุทธิโดยภาครัฐอาจจะขึ้นไปถึงระดับ 14 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวมในประเทศในปีนี้ ซึ่งหากเป็นจริง ก็จะเป็นตัวเลขการขาดดุลที่สูงที่สุดในรอบปี นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเลย
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเยอรมนี แองเกลา แมร์เคิล กล่าวเตือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระหว่างการประชุมในวันพฤหัสบดีว่า การที่บางรัฐในประเทศมีแผนจะผ่อนคลายมาตรการรับมือโควิด-19 ในเร็วๆ นี้ อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่จะทำให้เยอรมนีทั้งประเทศไม่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
นายกรัฐมนตรีแมร์เคิล ยังระบุด้วยว่า การระบาดใหญ่ทั่วโลกครั้งนี้ ยังไม่ได้ผ่านพ้นช่วงต้นไปเลยเสียด้วยซ้ำ