หลายประเทศในยุโรปเริ่มกลับมาดำเนินมาตรการล็อคดาวน์อีกครั้ง หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่พุ่งขึ้น
รัฐบาลอังกฤษสั่งปิดเมืองเลสเตอร์ (Leicester) ไปแล้ว หลังพบว่าโรงงานผลิตเสื้อผ้าหลายแห่งกลายมาเป็นแหล่งระบาดรอบใหม่ และเตรียมแผนปิดเมืองบางแห่ง หากจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ หลังรัฐบาลยอมให้ธุรกิจบริการบางกลุ่มกลับมาเปิดกิจการอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในอังกฤษแสดงความผิดหวังที่ผู้คนออกมารวมตัวกันตามบาร์และร้านอาหารในหลายเมืองโดยไม่มีการสวมหน้ากาก และเรียกสถานการณ์ที่ประชาชนออกมาสังสรรค์กันในพื้นที่ปิด โดยไม่รักษาระยะห่างระหว่างกันว่าเป็น “ความบ้าคลั่งที่สุด”
ส่วนที่เซอร์เบีย รัฐบาลเพิ่งออกคำสั่งล็อคดาวน์อีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราการติดเชื้อโควิด-19 เริ่มพุ่งขึ้น หลังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง โครเอเชีย ออกคำสั่งใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว กำหนดให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศในคาบสมุทรบอลข่านอื่นๆ ต้องแยกตัวออกมาเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขณะที่รัฐบาลบัลแกเรียสั่งยืดเวลาคำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉินไปจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม และบังคับให้ประชาชนต้องใส่หน้ากากเมื่ออยู่ภายในร้านค้าและอาคารที่เป็นที่สาธารณะตลอดเวลา
และหลังเกิดการระบาดรอบใหม่ รัฐบาลโปรตุเกสสั่งทบทวนคำสั่งจำกัดต่างๆ เพื่อควบคุมการระบาดโควิด-19 ในกรุงลิสบอน เช่น การกำหนดไม่ให้มีการรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน เพื่อหวังแก้ไขสถานการณ์ในประเทศที่เคยได้รับเสียงชื่นชมว่าประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดไปก่อนหน้านี้
ส่วนที่สเปน รัฐบาลได้สั่งใช้มาตรการจำกัดในพื้นที่บางส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเพื่อหวังควบคุมการพุ่งขึ้นของตัวเลขผู้ติดเชื้อเช่นกัน โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าหน้าที่รัฐเพิ่งสั่งปรับเงินเจ้าชายโฮอาคิม แห่งเบลเยี่ยม เป็นเงินจำนวน 11,700 ดอลลาร์ ในข้อหาละเมิดกฎการเฝ้าระวังอาการของสเปน ระหว่างเข้าร่วมงานปาร์ตี้งานหนึ่ง
รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลบางประเทศประสบปัญหาในการทำให้ประชาชนยอมปฏิบัติตามกฎการรักษาระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากาก แม้จะย้ำเสมอว่า การปลดล็อคมาตรการทั้งหลายเพื่อเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะสามารถละทิ้งการปฏิบัติข้อควรระวังต่างๆ ได้
องค์การอนามัยโลก เตือนว่า อัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในราว 30 ประเทศของยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่สถานการณ์ดูน่ากังวลอย่างมากใน 11 ประเทศ
